ข่าวสาร
ข่าวสารจาก อย. รู้ทันเหตุการณ์ อัพเดททุกวัน
----
ขึ้นทะเบียน อย. ทั้งนำเข้าและผลิต
อาหาร++
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร++
เครื่องสำอาง++
เครื่องมือแพทย์++
วัตถุอันตราย++
ราคาพิเศษ สอบถามรายละเอียดได้ที่
Tel : 08-05584431, 09-70094800 (คุณเอ๋,คุณอาร์ม)
√สะดวก
√รวดเร็ว
√ราคาไม่แพง
√ยินดีให้คำปรึกษาฟรี
Line Official : https://line.me/R/ti/p/@828wsyhl?from=page
Website : https://www.professional-expert.net/
-
ข่าว อย. ดำเนินการตรวจสถานที่ผลิตนม ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 นายแพทย์วรา เศลวัตนะกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มอบหมายให้กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข ดำเนินการตรวจสถานที่ผลิตนม ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร เพื่อเฝ้าระวังสถานที่ผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐาน และประกอบการขออนุญาตเพิ่มประเภทอาหาร ประเภท อาหารวัตถุประสงค์พิเศษ พร้อมเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์นมโค ตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2566 ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย อำเภอปราณบุรี ร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 อำเภอปราณบุรี
-----------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
อย. ร่วมกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ประจำปีพุทธศักราช 2566
อย. ร่วมกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ประจำปีพุทธศักราช 2566
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อย. เข้าร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมสาธารณสุขพระองค์แรก เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ประจำปีพุทธศักราช 2566 และเยี่ยมชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติ พร้อมร่วมพิธีสดัปกรณ์ โดยมีนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธี รวมทั้งนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหาร สธ. เข้าร่วมงาน ด้วยระลึกถึงความสำคัญของงานสาธารณสุขที่ได้พัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนข้าราชการ และบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขได้ยึดถือเป็นคติในการปฏิบัติงานตลอดมา
-----------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
ความรู้ อย. ขวดพลาสติกเพท (PET) ใช้ซ้ำ เสี่ยงได้รับสารเคมีปนเปื้อน จริงหรือ ?
จากกรณีที่มีการแชร์ข้อความเตือนภัยเกี่ยวกับขวดพลาสติกเพท (PET) หรือ โพลีเอธิลีน เทเรฟทาลเลต (Polyethylene terephthalate) ที่นิยมนำมาใช้ใส่น้ำดื่มหรือเครื่องดื่มต่าง ๆ ว่า หากนำขวดพลาสติกเพทมาใช้ซ้ำจะทำให้มีสารเคมีปนเปื้อนออกมา เสี่ยงเป็นอันตรายได้ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เรามีคำตอบ มาดูกันเลย
ขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่ม สามารถจำแนกได้ 2 ชนิดตามรูปแบบการใช้ ดังนี้
1. ขวดบรรจุน้ำแบบใช้ครั้งเดียว (One-way packaging) นิยมผลิตจากพลาสติก 2 ชนิด ได้แก่
1.1 Polyethylene terephthalate (PET) ลักษณะขวดขาวใส
1.2 Polyethylene (PE) ลักษณะขวดขาวขุ่น
2. ขวดบรรจุน้ำแบบเติม (Refillable bottle) นิยมผลิตจากพลาสติก 5 ชนิด คือ
2.1 Polypropylene (PE) ลักษณะขวดขาวขุ่น
2.2 High density polyethylene (HDPE) ลักษณะขวดขาวขุ่น
2.3 Polyethylene terephthalate (PET) ลักษณะขวดขาวใส
2.4 Polycarbonate (PC) ขวดใส สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อน
2.5 Polypropylene (PP) ขวดสีขาวขุ่น
จะเห็นว่าพลาสติกชนิดเพท (PET) นิยมนำมาผลิตเป็นขวดบรรจุน้ำดื่ม เพราะขวดจะมีลักษณะใส มีความแข็งแรงทนทานต่อแรงกระแทกการกดอัด ทนต่อความเป็นกรดและความเย็นได้ดี และสามารถนำมากลับมาใช้ซ้ำผ่านกระบวนการรีไซเคิลได้ โดยสามารถสังเกตได้ที่ก้นขวดมักจะเห็นเครื่องหมายลูกศรวนเป็นสามเหลี่ยมและมีเลข 1 อยู่ตรงกลาง ซึ่งปัญหาของการนำขวดพลาสติกเพทกลับมาใช้จะไม่ใช่เรื่องสารเคมีที่ปนออกมา แต่เป็นความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค และสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในขวด หากทำความสะอาดไม่ดีพอ ดังนั้นข้อความเตือนภัยที่แชร์กันว่า ขวดพลาสติกเพท (PET) ใช้ซ้ำ เสี่ยงได้รับสารเคมีปนเปื้อน ไม่เป็นความจริง
ถึงแม้ว่าขวดพลาสติกเพท (PET) จะสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ แต่ไม่ควรใช้ซ้ำหลาย ๆ ครั้งเนื่องจากอาจก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ ถ้าจำเป็นต้องใช้ซ้ำ ก็ควรทำความสะอาดเพื่อลดการสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเห็นว่าขวดมีลักษณะ เริ่มขุ่น มีรอยขีดข่วน บุบหรือแตก ก็ไม่ควรนำมาใช้ซ้ำอีก เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากจุลินทรีย์ที่สะสมในรอยแตกของบรรจุภัณฑ์และส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้
-----------
-----------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
อย. จับมือ สภาองค์กรของผู้บริโภค บูรณาการกลไกงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ
อย. ร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค บูรณาการเชื่อมทิศทางการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้สอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว สร้างความเข้มแข็งของระบบการคุ้มครองผู้บริโภค
เมื่อวันที่ (29 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมหลวงวิเชียรแพทยาคม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ร่วมกับ นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค เภสัชกรภาณุโชติ ทองยัง ประธานอนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ และคณะ เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว สร้างความเข้มแข็งของระบบการคุ้มครองผู้บริโภค
โดย นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทั้ง อย. และสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อปกป้อง คุ้มครอง ให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยยึดประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ซึ่ง อย. เป็นองค์กรภาครัฐหลักในการดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภค ขณะเดียวกันมุ่งส่งเสริมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญก้าวหน้า โดย อย. นำกลไก 5S มาขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว (Speed) สร้างความรอบรู้ มีระบบการเฝ้าระวัง เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัย (Safety) โดยเน้นความพึงพอใจของผู้รับบริการ โปร่งใส ตรวจสอบได้ (Satisfaction) สนับสนุนขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Supporter) และสร้างความมั่นคงทางยา เวชภัณฑ์ ในภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ (Sustainability) รวมทั้งใช้นโยบาย FDA Care D+ ทีมประสานใจ เข้ามาขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ อย. ให้ความสำคัญกับเครือข่ายภาคประชาชนที่ร่วมดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค ยินดีรับฟังความคิดเห็น และประสานการปฏิบัติงานร่วมกับสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นนิมิตหมายอันดีที่ อย. และสภาองค์กรของผู้บริโภค จะร่วมมือกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้เกิดมาตรการในการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม รวดเร็ว
ในการประชุมครั้งนี้ อย. และสภาองค์กรของผู้บริโภค มีข้อสรุปร่วมกันในการเฝ้าระวังเตือนภัยโดยทีม อย. และสภาองค์กรของผู้บริโภค จะร่วมดำเนินการในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างครอบคลุมทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ส่วนในประเด็นการจัดการกับปัญหาการโฆษณาเกินจริงทางสื่อออนไลน์ ทางสภาองค์กรของผู้บริโภคจะนำส่งเบาะแส เพื่อให้ อย. ดำเนินการ โดย อย. จะให้การสนับสนุนข้อมูลของประเภทผลิตภัณฑ์สุขภาพ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกัน สร้างระบบการให้ความรู้และสื่อสารเตือนภัย เพื่อให้ระบบการสร้างความรอบรู้แก่ผู้บริโภคมีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง
-----------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
อย.ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ทลายโกดังทุนจีน ขายเครื่องสำอางปลอม, ผลิตภัณฑ์สมุนไพร-ยาเถื่อน
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ., สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติกรณีทลายโกดังเก็บผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางปลอม, ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ, ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ และเซ็กส์ทอย (อวัยวะเพศเทียมชาย-หญิง) โดยลวงขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ตรวจยึดของกลาง 33 รายการ รวม 6,744 ชิ้น มูลค่ากว่า 2,000,000 บาท
พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากปัจจุบัน พฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านแฟลตฟอร์มออนไลน์มีความหลากหลาย และเป็นช่องทางอันดับต้นที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ จึงทำให้ปัญหาการแพร่ระบาดของผลิตภัณฑ์ปลอม และไม่ได้มาตรฐานในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทยที่มีชื่อเสียง
กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
จึงมีมาตรการในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับได้รับการร้องเรียนข้อมูลจากบริษัท ทีเอ็นเค บิวตี้ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์กำจัดขน คอสมิค แฮร์ รีมูฟเวอร์ สเปรย์ พลัส (cosmic hair remover spray plus) แจ้งว่ามีการปลอมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แพร่ระบาดในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์กำจัดขนเป็นผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสผิวโดยตรง หากเป็นผลิตภัณฑ์ปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ หรืออาจเกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. จึงทำการสืบสวนจนทราบถึงสถานที่จัดเก็บผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และกลุ่มผู้กระทำผิด โดยพบว่ากลุ่มดังกล่าว นายทุนชาวจีนมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปิดร้านผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยโฆษณาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางปลอม, เครื่องสำอางที่ไม่มีเลขจดแจ้ง, ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ โดยมีการโฆษณาขายสินค้าและรับออเดอร์สินค้าอยู่ที่ประเทศจีน จากนั้นทำการส่งข้อมูลการจัดส่งสินค้าให้กับพนักงานในประเทศไทย ทำการบรรจุและจัดส่ง โดยมีผู้สั่งการในประเทศไทยซึ่งเป็นชาวจีนทำหน้าที่ดูแล สั่งการอีกทางหนึ่ง
ต่อมาในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นำหมายค้นของศาลแขวงธนบุรี เข้าทำการตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ซอยเทียนทะเล 20 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ผลการตรวจค้นพบ น.ส.จารุณี (สงวนนามสกุล) พนักงานชาวไทย และ MISS CHUNCHEN (สงวนนามสกุล) สัญชาติ จีน แสดงตัวเป็นเจ้าของสถานที่และกิจการดังกล่าว ตรวจยึด 1. ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางปลอม ยี่ห้อคอสมิค แฮร์ รีมูฟเวอร์ สเปรย์ พลัส จำนวน 3,100 ชิ้น, 2. ผลิตภัณฑ์สบู่พฤกษา นกแก้ว สีเขียว (ต้องสงสัยว่าปลอม) จำนวน 15 ชิ้น 3. ผลิตภัณฑ์สบู่พฤกษา นกแก้ว สีชมพู (ต้องสงสัยว่าปลอม) จำนวน 5 ชิ้น, 4. เครื่องสำอางไม่แสดงฉลากภาษาไทย จำนวน 15 รายการ (2,262 ชิ้น) , 5. ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 2 รายการ,
6. ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 11 รายการ และ 7. เซ็กส์ทอย(อวัยวะเพศเทียมชาย-หญิง) จำนวน 210 ชิ้น รวมของกลางทั้งหมด 33 รายการ จำนวน 6,744 ชิ้น มูลค่ากว่า 2,000,000 บาท ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ดำเนินคดี
จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า โกดังเก็บสินค้าดังกล่าว มีการบริหารจัดการในลักษณะ “เก็บ แพ็ค ส่ง” หรือ Fulfillment โดยสินค้าจะมีนายทุนชาวจีนเป็นผู้สั่ง และนำเข้ามาจากประเทศจีน จากนั้นนำมาเก็บไว้โกดังที่ MISS CHUNCHENฯ (สงวนนามสกุล) เป็นเจ้าของ เพื่อรอแพ็คส่งให้ลูกค้าชาวไทย จากกการสอบถาม น.ส.จารุณีฯ พนักงาน รับว่า ตนจะรับออเดอร์-ที่อยู่การจัดส่ง จากนั้นทำการแพ็คบรรจุ และส่งให้กับลูกค้าชาวไทย ตามคำสั่ง MISS CHUNCHENฯ (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นนายจ้างชาวจีน โดยจะได้ค่าส่งชิ้นละประมาณ 5 บาท และทำมาแล้วประมาณ 1 ปี
อนึ่ง การตรวจค้นครั้งนี้พบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เป็นผลิตภัณฑ์ปลอม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ซึ่งไม่แสดงฉลากภาษาไทย ส่งขายให้กับประชาชนซึ่งจะทำให้ได้รับผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง โดยในส่วนผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยว่าปลอมอื่นๆ อยู่ระหว่างติดต่อให้ บริษัท เจ้าของผลิตภัณฑ์ตรวจสอบและยืนยันเพิ่มเติม ในส่วนตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ตรวจยึด พนักงานสอบสวนจะส่งผลิตภัณฑ์ตรวจพิสูจน์กับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หากพบวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง จะเป็นความผิดเพิ่มเติมตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ฐาน “จำหน่ายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้” ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1. พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ฐาน “ขายเครื่องสำอางปลอม” ระวางโทษจำคุกหกเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ฐาน “ขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับ” ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ฐาน “มีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร” ระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. กรณีการจำหน่ายเซ็กส์ทอย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 287
ฐาน“ขายวัตถุหรือสิ่งของลามก” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวน ขยายผล จนสามารถตรวจยึดเครื่องสำอาง ยา และสมุนไพร ที่ผิดกฎหมายได้จำนวนมาก
การดำเนินการจับกุมในครั้งนี้พบเครื่องสำอางปลอม ยา และสมุนไพรที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. หากผู้บริโภคนำสินค้าดังกล่าวไปใช้ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงขอย้ำเตือนพี่น้องประชาชนว่าอาหาร ยา เครื่องสำอาง สมุนไพร จะต้องได้รับอนุญาตจาก อย. ก่อนจำหน่าย โดยสามารถดูได้ที่ฉลากผลิตภัณฑ์ หรือที่บรรจุภัณฑ์ ควรซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน กรณีซื้อออนไลน์ให้ซื้อจากร้านค้าออนไลน์ที่มีการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เรียบร้อยแล้ว สำหรับยา ไม่สามารถซื้อทางออนไลน์ได้ ต้องซื้อจากร้านยา หรือได้รับการตรวจวินิจฉัยและจ่ายจากแพทย์ในสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนเท่านั้น ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th และ Line@FDAThai และหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. กล่าวฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่าระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ควรตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน อย่าหลงซื้อ เพียงเพราะเห็นแก่ราคาสินค้าที่ถูกกว่าท้องตลาด ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยา ที่ถูกเกินกว่าปกติ หรือโฆษณาโปรโมชั่นการตลาดที่ราคาลดลงจนไม่น่าเป็นไปได้ เช่น ลด 50 -70 % , ซื้อ 1 แถม 2, สินค้า Pre Order, กล่าวอ้างซื้อตัดล็อต หรือเป็นของแท้นำเข้าจากต่างประเทศ ไม่เสียภาษีจึงราคาถูก เป็นต้น ให้ระลึกไว้เสมอว่าท่านกำลังเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อการโฆษณาและได้ของปลอม ของไม่มีคุณภาพ ใช้แล้วอาจเกิดอาการแพ้ และขอเน้นย้ำกับผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลายว่าอย่านำสินค้าที่ผิดกฎหมายมาจำหน่ายหรือหลอกลวงผู้บริโภคโดยเด็ดขาด หากพบจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ผู้ที่พบเห็นการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะอื่นใด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ.1135 หรือ เพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภคได้ตลอดเวลา
-----------
--------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
อย. เปิดรายชื่อผลิตภัณฑ์นม 11 รายการ จากปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายชาวเวียดนาม โฆษณาขายนมโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หลอกขายประชาชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในราคาแพง อย. อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิด จึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
สำหรับรายละเอียดของผลิตภัณฑ์นมผิดกฎหมายทั้ง 11 รายการ
-------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
อย. เตือนอย่าใช้เซรั่มเถื่อน อ้างลดเลือนริ้วรอยทันทีหลังใช้ เสี่ยงหน้าพัง
อย. เตือนอย่าใช้เซรั่มเถื่อน อ้างช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้าได้ทันทีหลังใช้ รีวิวทาง Tik Tok อาจลักลอบใส่สารห้ามใช้ อันตรายเสี่ยงหน้าพัง
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอทางสื่อออนไลน์สาธิตวิธีใช้เซรั่มที่ทาเพียงหยดเดียวตีนกาหายวับ นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอเรียนว่า จากคลิปวิดีโอไม่ปรากฏฉลากภาษาไทย ตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่าอาจเป็นผลิตภัณฑ์ชื่อ Brolamen ไม่พบการจดแจ้งในฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และมีข้อสังเกตจากคลิปดังกล่าวว่า ผู้ใช้เครื่องสำอางในคลิปมีการหยีตาขณะทาเซรั่ม จึงมีรอยย่นที่หางตา แต่เมื่อทาเซรั่มเสร็จก็ไม่หยีตา จึงไม่เห็นรอยย่น ดังนั้น การที่รอยย่นหายไปน่าจะเกิดจากการขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า
การโฆษณาเครื่องสำอางในลักษณะดังกล่าว มีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากสื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยภาพว่าใช้ผลิตภัณฑ์นี้ลดริ้วรอยได้ทันที ซึ่งเป็นเท็จหรือเกินความจริงและทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าเจ้าของบัญชีที่เผยแพร่คลิปวิดีโอดังกล่าวอยู่ต่างประเทศ โดย อย. จะตรวจสอบ เฝ้าระวังการโฆษณาและดำเนินคดีผู้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง
รองเลขาธิการ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อ เลือกใช้ ผลิตภัณฑ์สุขภาพจากแพลตฟอร์มออนไลน์ อย่าได้หลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ก่อนซื้อให้ตรวจสอบว่า ผลิตภัณฑ์ผ่านการจดแจ้งจาก อย. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ”, Facebook: FDAThai, Line@FDAThai และผลิตภัณฑ์ต้องแสดงฉลากเป็นภาษาไทย ระบุข้อความจำเป็นครบถ้วน ได้แก่ ชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้า ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีใช้ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ปริมาณสุทธิ ครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต เดือนปีที่หมดอายุ คำเตือน และเลขที่ใบรับจดแจ้ง หากผู้บริโภคพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงหรือได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ร้องเรียนมาได้ที่ สายด่วน อย. โทร. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.thหรือ ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
--------------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) ตัดตอนสายหื่น…ปราบยาเสียสาวก่อนลอยกระทง ตรวจค้น 6 จุด ยึดยาเสียสาว และยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ กว่า 2 พันชิ้น
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ., สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ เภสัชกรหญิงวรสุดา ยูงทอง ผู้อำนวยการกองยา ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติกรณีระดมกวาดล้างผู้จำหน่ายยาปลุกเซ็กส์ ตรวจค้น 6 จุด ตรวจยึดของกลาง 80 รายการ มูลค่ากว่า 1.9 ล้านบาท
ตรวจค้นพื้นที่กรุงเทพมหานคร, จ.นนทบุรี, จ.ปทุมธานี และ จ.นครราชสีมา รวมทั้งสิ้น 6 จุด ดังนี้
1. บ้านพักย่าน ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตรวจยึดยาปลุกเซ็กส์ และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ จำนวน 10 รายการ, เจลหล่อลื่น 3 รายการ, ถุงยางอนามัย 6 รายการ และผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติดประเภทสารระเหย จำนวน 12 รายการ
2. บ้านพักย่าน ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตรวจยึดยาปลุกเซ็กส์ และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ จำนวน 10 รายการ
3. บ้านพักย่านพัฒนาการ 38 แขวง/เขต สวนหลวง กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่อ้างสรรพคุณการปลุกเซ็กส์ จำนวน 4 รายการ และผลิตภัณฑ์สำหรับทากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ จำนวน 6 รายการ
4. บ้านพักย่านห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จำนวน 2 รายการ และยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา จำนวน 7 รายการ
5. บ้านพักย่านแขวงดอกไม้ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร ตรวจยึดยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ จำนวน 1 รายการ
6. บ้านพักย่าน ต.บางไผ่ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ตรวจยึดยาปลุกเซ็กส์ และยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ จำนวน 13 รายการ
ตรวจยึดของกลางรวม 80 รายการ โดยเป็นยาปลุกเซ็กส์ หรือยาเสียสาว จำนวน 106 ชิ้น, ยาเสริมสมรรถภาพทางเพศ จำนวน 1,891 ชิ้น , ผลิตภัณฑ์สำหรับทากระตุ้นความรู้สึกทางเพศ จำนวน 169 ชิ้น, ผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติดประเภทสารระเหย( ป็อปเปอร์ ) จำนวน 220 ขวด, เซ็กส์ทอยรูปแบบต่างๆ และ ถุงยางอนามัย จำนวน 470 ชิ้น
แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ได้แก่
1. นายอิสรพงษ์(สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี
2. นาย บุญ (สงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี
3. นายพิทยา (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี
ในความผิดฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา
พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจาก ปรากฏข่าวตามสื่อเกี่ยวกับภัยของยากลุ่มกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ไฮโซคนดังหยอดยาเสียสาวผสมเหล้าให้รับประทาน จนร่างกายเกิดภาวะช็อกเสียชีวิต, พริตตี้สาวถูกคนร้ายหวังข่มขืน โดนหยอดยาปลุกเซ็กส์ให้รับประทานจนเกิดความต้องการทางเพศ อาเจียน และเกิดภาวะช็อก และ ชายสูงวัยรับประทานยาไวอากร้าจนเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เป็นต้น โดย “ยาเสียสาว-ยาเสียหนุ่ม” อาจประกอบด้วยสารอันตรายชนิดต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อระบบประสาท เช่น รู้สึกตื่นตัว สนุก รวมถึงกระตุ้นความรู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์ หรือบางชนิดอาจทำให้เบลอหรือง่วง ซึ่งปรากฏว่ามีการโฆษณาขายในโซเชียล ส่วนใหญ่จะเป็นของเหลวใส ง่ายต่อการผสมในเครื่องดื่ม
เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคจึงมีการเฝ้าระวังกลุ่มยาชนิดดังกล่าวเรื่อยมา ประกอบกับ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน มีเทศกาลสำคัญซึ่งมีหนุ่มสาวออกมารวมตัวกันเพื่อ “ลอยกระทง” บางส่วนมีการจัดงานปาร์ตี้ส่วนตัว และสังสรรค์ตามสถานบันเทิง ซึ่งอาจเป็นช่องว่างให้มีการนำยาเสียสาวมาใช้กับเหยื่อเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์สิน ล่วงละเมิดทางเพศ หรือก่ออาชญากรรมรูปแบบอื่น ๆ จึงเป็นที่มาของการระดมกวาดล้างยาเสียสาวต้อนรับเทศกาลลอยกระทงในครั้งนี้
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. จึงทำการตรวจสอบการจำหน่ายยาปลุกเซ็กส์รูปแบบต่างๆ ตามแพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่ามีการจำหน่ายอย่างแพร่หลาย อาทิเช่น
1. ยาน้ำ ปลุกเซ็กผู้หญิง ปลุกอารมณ์ผู้หญิง เพิ่มอารมณ์ผู้หญิง
( https://www.facebook.com/profile.php?id=100086377833883&mibextid=LQQJ4d )
2. ไวอากร้าสำหรับผู้ชาย-ไวอากร้า ผู้หญิงแบบผสมน้ำ ( https://ppshop7x.com/ )
3. SexShop ยาปลุกเซ็กส์ราคาถูก ( https://www.sexzab.com/th/product/695558/ )
4. ร้านขาย Sex Toy ยาเสียว ยา_แข็ง ( https://kimochii.co/ )
5. Kamagrajelly Smile Shop ( https://www.facebook.com/profile.php?id=100083040587387 )
6. Kmg Oral Jelly ( https://www.facebook.com/profile.php?id=100093827246033 )
7. Kmg Oral Jelly ( http://www.jelly-kamagra.com/ )
เมื่อทำการตรวจสอบเว็ปไซต์ดังกล่าวข้างต้นพบว่า มีการจำหน่ายยาปลุกเซ็กส์สำหรับผู้ชาย - ยาปลุกเซ็กส์ชนิดน้ำไร้รส ไร้กลิ่นสำหรับผู้หญิง, ยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ, และเซ็กส์ทอยจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทำการสืบสวนจนทราบสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เข้าทำการตรวจค้น ตรวจยึดสิ่งของผิดกฎหมายส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาทั้งสิ้น 3 ราย
อนึ่ง ผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติดประเภทสารระเหย (ป็อปเปอร์) หรือ เอมิลไนไตรท์ (Amyl nitrite) มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อบำบัดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และใช้รักษาอาการพิษจากไซยาไนด์ แต่ในปัจจุบันมีผู้นำไปใช้เพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศเพื่อลดความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และอวัยวะเพศหญิงโดยพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. จะนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ตรวจยึด ส่งตรวจ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หากตรวจพบว่าเป็นสารระเหย ผู้จำหน่ายจะมีความผิดฐาน “จำหน่ายสารระเหยโดยไม่มีภาพ เครื่องหมาย หรือข้อความที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสารระเหยต้องจัดให้มีภาชนะบรรจุหรือหีบห่อที่บรรจุฯ” ตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1. พ.ร.บ. ยา พ.ศ.2510
1.1. ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
1.2. ฐาน “ขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. พ.ร.บ. เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2551 ฐาน “ขายเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้รับใบรับจดแจ้ง” ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. กรณีการจำหน่ายเซ็กส์ทอย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 287 ฐาน“ขายวัตถุหรือสิ่งของลามก” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เภสัชกรหญิงวรสุดา ยูงทอง ผู้อำนวยการกองยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวนขยายผลจนสามารถตรวจยึดยาที่ผิดกฎหมายได้จำนวนมาก จากการจับกุมพบยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ลักลอบนำเข้า และขายให้ผู้บริโภค
เฉพาะกลุ่ม ซึ่งตัวผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและการใช้ยาผิดวัตถุประสงค์เป็นอันตราย
ถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องจากไม่ทราบแหล่งผลิตว่ามีมาตรฐานหรือไม่ ทั้งจากกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน และอันตรายจากการใช้ยาเกินขนาดจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ จึงขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่า ไม่ควรซื้อยาใด ๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียมารับประทานเอง ควรได้รับคำแนะนำในการใช้ยาที่ถูกต้องจากเภสัชกร เนื่องจากผลข้างเคียงของการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
อย. จึงขอย้ำเตือนพี่น้องประชาชนว่า ยาจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย และยาไม่สามารถซื้อขายทางออนไลน์ได้ ต้องซื้อจากร้านยา หรือได้รับการตรวจวินิจฉัยและจ่ายโดยแพทย์จากสถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชนเท่านั้น
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. กล่าวว่าจากการตรวจสอบในครั้งนี้พบ ยาไม่มีทะเบียน เป็นจำนวนมาก ซึ่งทางตำรวจเฝ้าระวังและจะขยายผลถึงต้นตอของยาไม่มีทะเบียนที่ตรวจพบในแหล่งจำหน่ายทุกจุด และฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ ควรระมัดระวังเครื่องดื่มของตนเอง ไม่ดื่มเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่อยู่ในภาชนะปากกว้างที่ง่ายต่อการผสมยาอันตรายลงไป และไม่ละสายตาจากเครื่องดื่มของตนเอง เป็นต้น และ ขอเตือนไปยังกลุ่มคนที่ลักลอบขายและใช้สรรพคุณยาผิดวัตถุประสงค์ว่า ยาคือหนึ่งในปัจจัยสี่ ที่ใช้เพื่อรักษาโรคหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้อย่างถูกวิธีและได้รับคำแนะนำในการใช้อย่างละเอียด จากผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม โดยเฉพาะยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษซึ่งจะต้องใช้อย่างระมัดระวังตามใบสั่งของแพทย์เท่านั้น และจะดำเนินการกวาดล้างผู้ที่กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง หากพี่น้องประชาชนพบเห็นร้านขายยาใดมีพฤติกรรมในการใช้พนักงานขายยาที่ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะอื่นใดสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ.1135 หรือ เพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภคได้ตลอดเวลา
----------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
อย. ห่วงใย อุปกรณ์วัดไข้ เมื่อลูกน้อยไม่สบาย
“ภาวะไข้” หมายถึง ภาวะที่เด็กมีอุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.6 องศาเซลเซียสขึ้นไป เป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าร่างกายของเด็กตอบสนองต่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย โดยร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น สำหรับอาการไข้ในเด็กเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเฝ้าระวังเนื่องจากหากปล่อยให้ไข้สูงจัดอาจทำให้เกิดอาการชักได้ ซึ่งแต่ละบ้านจึงควรมีอุปกณ์วัดไข้ติดบ้านไว้ โดยอุปกรณ์วัดไข้สำหรับเด็กมีหลายประเภท แบ่งได้ดังนี้
1. เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอท นิยมใช้วัดทางปาก ทวารหนัก หรือใต้รักแร้ โดยต้องใช้อย่างระมัดระวัง อย่าทำให้แตก เพราะจะทำให้บาดเจ็บและเกิดพิษจากปรอทได้
2. เทอร์โมมิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ นิยมใช้วัดทางปาก ทวารหนัก หรือใต้รักแร้
3. แถบวัดไข้ นิยมใช้วัดทางหน้าผาก
ในการเลือกใช้อุปกรณ์วัดไข้สำหรับเด็กนั้นสามารถเลือกใช้ได้ตามความสะดวกหรือแล้วแต่สถานการณ์ ทั้งนี้ ผู้วัดควรอ่านคู่มือการใช้งานและปฏิบัติตามขั้นตอนการใช้อย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัย โดยบริเวณของร่างกายที่วัดจะเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย ดังนี้
1. การวัดไข้ทางทวารหนัก เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 4 ปี
2. การวัดไข้ทางรักแร้ เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป
3. การวัดไข้ทางหู เหมาะสำหรับเด็ก 6 เดือนขึ้นไป
4. การวัดไข้ทางปาก เหมาะสำหรับเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
5. การวัดไข้ทางหน้าผาก เหมาะสำหรับเด็กทุกวัย
เมื่อเด็กมีไข้สูง อาจเกิดอาการชักได้ จึงควรรีบทำการลดอุณหภูมิร่างกายลง โดยสวมเสื้อผ้าให้บางลง เช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ แต่หากไข้ยังไม่ลดลงหลัง 30 นาที ควรพาไปพบแพทย์
----------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
ความรู้ อย. ถุงยางอนามัย ใช้ถูก ลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัยถือเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ เชื่อว่าหลายคนคงเคยใช้ถุงยางอนามัยมาแล้ว เพียงแต่อาจจะยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก หรือบางคนอาจยังใช้ผิดวิธีอยู่ ทำให้ไม่สามารถใช้คุมกำเนิด หรือป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ วันนี้ อย. มีวิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องมาฝาก มาติดตามกันเลย
วิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้อง
1. เลือกถุงยางอนามัยที่มีเลขใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ซึ่งผ่านการรับรองจาก อย. และมีเครื่องหมาย อย.บนฉลากผลิตภัณฑ์
2. เลือกขนาดถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับอวัยวะเพศ
3. บรรจุภัณฑ์ต้องสมบูรณ์ ไม่ชำรุดหรือฉีกขาด
4. ตรวจสอบวันหมดอายุของถุงยางอนามัยก่อนใช้งานทุกครั้ง
5. สวมถุงยางอนามัยให้ถูกต้อง ถูกวิธี
6. หากมีกิจกรรมนานกว่า 30 นาที ควรเปลี่ยนถุงยางอนามัยอันใหม่ เพื่อลดการเสื่อมสภาพ
7. ห้ามใช้ถุงยางอนามัยซ้ำ ควรเปลี่ยนใหม่ทุกครั้ง
8. เก็บถุงยางอนามัยไม่ให้โดนความร้อน แสงแดด และไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเนื่องจากอาจนั่งทับแล้วทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้
9. หากต้องการใช้สารหล่อลื่น ควรเลือกใช้สารหล่อลื่นที่เหมาะสมเท่านั้น ไม่ควรใช้น้ำมันทาผิว หรือ ยาทาใด ๆ แทน เพราะอาจมีน้ำมันหรือสารเคมีบางอย่างที่ทำให้ถุงยางเสื่อมประสิทธิภาพและฉีกขาดได้ง่าย
โดยขั้นตอนการสวมถุงยางอนามัยที่ถูกต้องมีดังนี้
1. ฉีกซองอย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้
2. สวมถุงยางอนามัยขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเท่านั้น
3. ก่อนใส่ถุงยางอนามัยให้บีบกระเปาะตรงปลายถุง เพื่อไล่ลมออก
4. สวมให้ถูกทางและรูดให้สุดโคนอวัยวะเพศ โดยต้องให้แน่ใจว่าสวมคลุมจนสุดพอดีแล้ว
5. เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้ถอดถุงยางอนามัยออกขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งตัวอยู่ โดยจับถุงยางอนามัยที่โคนอวัยวะเพศเพื่อถุงยางจะได้ไม่หลุด ค่อย ๆ นำออกจากคู่ของท่านอย่างระมัดระวัง และค่อย ๆ รูดถุงยางอนามัยออก
6. ห่อถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วทิ้งลงในถังขยะที่ปิดมิดชิด (ไม่ทิ้งลงในชักโครก)
การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่เชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้
-----------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบเครือข่ายทุนเวียดนามลวงโลก หลอกขายนมผง สรรพคุณสารพัด มูลค่ากว่า 40 ล้านบาท
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.บก.ปคบ., ว่าที่ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ., สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และเภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติกรณีกวาดล้างเครือข่ายชาวเวียดนาม โฆษณาขายนมสรรพคุณสารพัดเกินจริง ตรวจยึดของกลาง 23 รายการ รวมกว่า 43,411 ชิ้น มูลค่ากว่า 40,000,000 บาท
พฤติการณ์กล่าว คือ สืบเนื่องจากปัจจุบันค่านิยมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพเป็นที่ได้รับความสนใจของผู้บริโภค จึงทำให้ปัญหาการแพร่ระบาดของผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอม หรือผลิตภัณฑ์ด้อยคุณภาพในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค จึงมีมาตรการในการเฝ้าระวังการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพในลักษณะเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาทิเช่น แก๊งนายทุนจีน และนายทุนเวียดนาม ฯลฯ โดยจะมีการแอบอ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียง บุคลากรทางการแพทย์ ฯลฯ นำมาตัดต่อสร้างสื่อมัลติมีเดียเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้า แล้วขายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้มาตรฐานให้แก่ประชาชน โดยเมื่อผู้บริโภคหลงเชื่อซื้อสินค้า ปรากฏว่าสินค้าไม่ได้คุณภาพ ไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง บางรายเกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และไม่สามารถขอคืนเงินได้
ประกอบกับ กก.4 บก.ปคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาว่า มีเว็บไซต์ที่มีการตัดต่อภาพ วิดีโอเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ และปรากฏมีการโฆษณาบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นวงกว้าง มีเนื้อหาที่มีการบรรยายสรรพคุณผลิตภัณฑ์อาหารอันเป็นเท็จ จำนวน 4 เว็บไซต์ ได้แก่
1. https://www.ovisureth.site/
2. https://www.ovisureofficial.com/
3. https://www.youtube.com/channel/UC9d1lEKxZ1y2SKC18z2Kd6w
4. https://suachoxuongkhop.info/
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบเว็บไซต์ดังกล่าวพบว่า เป็นเว็บไซต์ที่โฆษณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นมผงยี่ห้อ Ovisure Gold โดยการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณนมที่เกินจริง เช่น ปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน เสริมสร้างสติปัญญา บรรเทาอาการปวดข้อปวดไหล่ อาการเหน็บชา ป้องกันความเสื่อมและโรคกระดูกพรุน ฟื้นฟูข้อต่อและเสริมสร้างกระดูกอ่อน ลดอาการปวดกระดูกและข้อให้หายภายใน 3 วัน ฯลฯ และกล่าวอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง จาก FDA สหรัฐอเมริกา และนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา
ซึ่งผลิตภัณฑ์นมผง Ovisure Gold เคยปรากฏเป็นข่าวบนสื่อออนไลน์ว่ามีการนำคลิปวิดีโอ และภาพถ่ายบุคคลที่มีชื่อเสียงจากแหล่งต่าง ๆ มาตัดต่อและโฆษณาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ อีกทั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการโฆษณา คุณประโยชน์ คุณภาพของอาหาร โดยไม่ได้รับอนุญาตและแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวงให้หลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่งหากผู้ป่วยหลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมารับประทาน เพื่อหวังผลในการบรรเทาอาการปวดข้อ ปวดไหล่ อาการเหน็บชา และโรคกระดูกพรุน จะเสียเงินเปล่า และเสียโอกาสในการรักษา
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. สืบสวนจนทราบถึงแหล่งจัดเก็บและกระจายผลิตภัณฑ์ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายค้น และได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้าทำการตรวจค้น สถานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในเขตพื้นที่ จ.ชลบุรี จำนวน 2 จุด ดังนี้
1. อาคารพาณิชย์ 3 ชั้น ม.6 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตรวจยึดผลิตภัณฑ์อาหาร จำนวน 8 รายการ, ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 3 รายการ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 1 รายการ พร้อมจับกุมผู้ต้องหาชาวเวียดนาม จำนวน 2 ราย
2. บ้านพักชั้นเดียว ม.1 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตรวจยึดผลิตภัณฑ์อาหาร จำนวน 8 รายการ, เครื่องมือแพทย์ จำนวน 1 รายการ, ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 1 รายการ และผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 1 รายการ พร้อมจับกุมผู้ต้องหาชาวเวียดนาม จำนวน 6 ราย
รวมตรวจค้น 2 จุด ตรวจยึดผลิตภัณฑ์อาหาร จำนวนกว่า 37,911 ชิ้น เป็นนมผงยี่ห้อต่าง ๆ 36,471 กระปุก, ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา จำนวน 4,120 ชิ้น, ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไม่ขึ้นทะเบียนตำรับ จำนวน 1,080 ชิ้น และเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดยี่ห้อ SINOCARE จำนวน 300 ชิ้น รวมของตรวจยึดทั้งหมด 43,411 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารที่ตรวจยึดเป็นนมผงยี่ห้อต่าง ๆ รวม 11 ยี่ห้อ ได้แก่
1. OVISURE GOLD อ้างสรรพคุณว่า ลดอาการปวดข้อ ป้องกันโรคเข่าเสื่อม ต่อสู้กับโรคกระดูกพรุน เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนใน 7 วัน
2. Digo sure อ้างสรรพคุณว่า เหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ บรรเทาอาการปวดข้อ
ปวดไหล่ เหน็บชา ฟื้นฟูและเสริมสร้างกระดูกอ่อนและข้อต่อ
3. Zextra Sure อ้างสรรพคุณว่า มีประโยชน์ในการรักษากระดูกสันหลังเสื่อม โรคข้อเสื่อม บรรเทาอาการอัมพาตครึ่งซีก
4. Via Sure Canxi อ้างสรรพคุณว่า ลดอาการปวดข้อและกระดูก ฟื้นฟูและสร้างกระดูกอ่อนใหม่
5. Hevisure gold อ้างสรรพคุณว่า ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น ตาบอด ไตวาย ฯลฯ
6. GluOats อ้างสรรพคุณว่า ลดและรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ป้องกันหัวใจล้มเหลว ไตวาย ติดเชื้อในตับ
7. Gluzextra Gold อ้างสรรพคุณว่า รักษาโรคเบาหวาน ควบคุมน้ำตาลในเลือด และลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคอันตรายต่าง ๆ
8. HIUP COMPLETE อ้างสรรพคุณว่า เพิ่มความสูง 3 - 5 ซม. ภายใน 3 เดือน มีสรรพคุณสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 10 เท่า
9. Sica sure canxi wemee อ้างสรรพคุณว่า เพิ่มความสูง 3 - 5 ซม. ภายใน 3 เดือน มีสรรพคุณสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป 10 เท่า
10. Pro up อ้างสรรพคุณว่า เพิ่มภูมิต้านทาน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นอนหลับลึก เพิ่มน้ำหนัก 10 กก. ภายใน 1 เดือน
11. Hevifood Body fit อ้างสรรพคุณว่า ลดน้ำหนัก 3 - 4 กก. ภายใน 2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องอดอาหาร
โดยขณะตรวจค้น พบชาวต่างชาติ สัญชาติเวียดนาม รวม 8 ราย กำลังแพ็คบรรจุผลิตภัณฑ์เพื่อรอจำหน่าย โดยเมื่อตรวจสอบหนังสือเดินทางพบมีเอกสารการเดินทางเข้าออกถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่มีใบอนุญาตการทำงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ดำเนินคดี ในข้อหา “1. ร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง, 2. ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, 3. ร่วมกันขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา, 4. ร่วมกันขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต, 5. ร่วมกันขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับ, 6. ร่วมกันขายเครื่องมือแพทย์ที่มิได้รับใบจดแจ้ง, 7. ร่วมกันเป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 8. ร่วมกันเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน”
จากการสืบสวนขยายผลทราบว่า กลุ่มผู้กระทำผิดมีนายทุนชาวเวียดนาม ทำการการเปิดโฆษณาจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่จดทะเบียนอยู่ต่างประเทศ โดยลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์มาจากประเทศเวียดนาม และนำสินค้ามาเก็บไว้ตามอาคารให้เช่าต่าง ๆ เพื่อรอการจำหน่าย เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้า แอดมินเพจจะส่งข้อมูลการสั่งซื้อให้กลุ่มผู้ต้องหาชาวเวียดนามทำการบรรจุ และส่งให้กับลูกค้าในประเทศไทย
จากการตรวจสอบสถานะทางด้านการเงินของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว พบว่า มีการเปิดบัญชีสำหรับรับโอนเงินค่าสินค้า ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม 2566 - ปัจจุบัน รวมระยะเวลา 3 เดือน มีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 175 ล้านบาท
เบื้องต้นการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน
1.พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 6 (10) ฐาน “จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง” ระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท
2.พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
3. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 72 (4) ฐาน “ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562
- ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ฐาน “ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับ” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. พ.ร.บ. เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 ฐาน “ขายเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้รับใบรับจดแจ้ง” ระวางโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. พ.ร. บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7. พ.ร.ก.การบริหารจัดการทำงานของบุคคลต่างด้าว พ.ศ. 2560 ฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 10,000 บาท
8. กรณีการนำเข้าข้อมูลเท็จและโฆษณาสินค้าดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ฐาน "นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ" ระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ภก. วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวนจนสามารถจับกุมผู้ค้า ตรวจยึดผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายได้เป็นจำนวนมาก
ผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบในครั้งนี้เป็นอาหารที่ลักลอบนำเข้า ไม่ขออนุญาตทั้งหมด โฆษณาโอ้อวดเกินจริง ซึ่ง อย. ได้ประชาสัมพันธ์ว่าเป็นข่าวปลอมเผยแพร่ทางเว็บไซต์ อย. และส่งข้อมูลรายงานให้ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแล้ว จำนวน 4 รายการ ได้แก่ 1) “OVISURE GOLD” 2) “HEVISURE GOLD” 3) “HIUP COMPLETE” 4)Sica sure canxi wemee และพบผลิตภัณฑ์อื่นอีก 10 รายการ ได้แก่ 1) ZextraSure 2) Via Sure Canxi 3) GluOats 4) Gluzextra Gold 5) Digo sure6)Hevifood Body fit 7) Pro up 8) Boca Max 9) Gluhealth 10) Boca premier ที่โฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ ไม่มีหลักฐาน หรือผลการทดสอบประสิทธิภาพทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน จึงขอเตือนผู้บริโภคว่าไม่มีอาหารที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้ ขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าหลงเชื่อข้อมูลเท็จ โฆษณาเกินจริง ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th และ Line@FDAThai หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th, Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่าขอให้ระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ ควรซื้อสินค้าจากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ อย่าหลงซื้อผลิตภัณฑ์ผ่านสื่อออนไลน์ที่โฆษณาหลอกลวงบรรยายสรรพคุณเกินจริง หรือซื้อเพราะราคาถูกเกินกว่าราคาทั่วไป เนื่องจากหลังจากที่ผู้บริโภคซื้อและได้ใช้สินค้า อาจไม่ได้มีสรรพคุณตามที่โฆษณาหลอกลวงไว้ หรือไม่ได้ผลการรักษาตามที่กล่าวอ้าง ทำให้ผู้บริโภคเสียเงิน และสูญเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ และขอเตือนไปยังผู้กระทำความผิดหลอกลวงคนอื่นด้วยวิธีการเอาความเจ็บป่วย หรือความเยาว์วัยมาหลอกลวงขายสินค้าให้กับผู้บริโภค หากพบจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่พบเห็นการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะอื่นใด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ.1135 หรือ เพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภคได้ตลอดเวลา
------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย. -
อย. ย้ำเตือน 11 ผลิตภัณฑ์เถื่อน ไม่ปลอดภัย โฆษณาหลอกขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกันแถลงผลการกวาดล้างเครือข่ายชาวเวียดนาม โฆษณาขายนมโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หลอกขายประชาชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในราคาแพง
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยรายชื่อผลิตภัณฑ์ทั้ง 11 รายการ จากปฏิบัติการกวาดล้าง เพื่อเน้นย้ำให้พี่น้องประชาชนทราบว่าไม่มีอาหารที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้ ขอให้ระมัดระวังและไตร่ตรองให้รอบคอบ อย่าหลงเชื่อข้อมูลเท็จ โฆษณาเกินจริง ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ลักลอบนำเข้า ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. หากซื้อไปรับประทานอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และ อย. อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำความผิด จึงขอเตือนให้พี่น้องประชาชนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ ดังนี้
1.OVISURE Gold
2.HEVISURE Gold
3.HIUP
4.Zextra Sure
5.Via Sure Canxi
6.GluOats
7.Sica SURE canxi wemee
8.Gluzextra Gold
9.Digo Sure
10.Hevifood Body Fit
11. Pro UP
--------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
ประกาศ... อย. ย้ายศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ (แห่งใหม่) แล้วนะ
ประกาศ... อย. ย้ายศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ (แห่งใหม่) แล้วนะ
โดยจะมีกำหนดการเปิดให้บริการได้ตั้งแต่ วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป -
อย. เป็นเจ้าภาพประชุมนานาชาติ ด้านการตรวจประเมินสถานที่ผลิตและกระจายยา (GMDP-PIC/S)
อย. เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสัมมนาหน่วยงานกำกับดูแลกฎหมายด้านยาจากนานาชาติ PIC/S Committee Meeting and 2023 Seminar แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านSoft Skill จากประเทศภาคีสมาชิก เพื่อยกระดับมาตรฐานระบบการตรวจและพัฒนาศักยภาพของหน่วยตรวจประเมินสถานที่ผลิตและกระจายยา (GMDP)
วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2566) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่ประเทศไทยได้รับการประกาศรับรองเป็นสมาชิก PIC/S (Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme) ซึ่งเป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศที่มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือและเครือข่ายระหว่างหน่วยตรวจประเมินหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต (GMP) ด้านยาของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 60 หน่วยงาน 52 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก PIC/S ลำดับที่ 49 ในปี 2559 และปี 2566 นี้ ประเทศไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสัมมนาในระดับนานาชาติ PIC/S Committee Meeting and 2023 Seminar ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของหน่วยงานกำกับดูแลตามกฎหมายมากกว่า 50 หน่วยงานทั่วโลก ตลอดจนองค์กรด้านยาระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ มุ่งหวังที่จะประสานความร่วมมือให้การตรวจประเมินสถานที่ผลิตและกระจายยา (GMDP) ทั่วโลกพัฒนามาตรฐานไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับการประชุม 2023 PIC/S Seminar จัดขึ้นในหัวข้อ “Soft Skills that Make a Good GMP/GDP Inspector in 2023” ซึ่งนับเป็นหัวข้อสำคัญที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูล ประสบการณ์ ทักษะระหว่างกันในหมู่ผู้ตรวจประเมิน GMDP (GMDP inspectors) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Soft skill ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นมากขึ้นในการปฎิบัติงาน และเป็นเทคนิคในการสื่อสารเพื่อจัดการกับสถานการณ์ให้เข้ากับบริบทการทำงานในทุก ๆ ด้าน
เลขาธิการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย. ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบกำกับดูแลมาตรฐานด้านผลิตภัณฑ์ยา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมในครั้งนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานระบบการตรวจและพัฒนาศักยภาพของหน่วยตรวจประเมิน GMDP ด้านยาของประเทศไทย และยกระดับมาตรฐานการผลิตยาของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาชาติ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการลงทุนขยายฐานการผลิตยา และการส่งออกยาไปจำหน่ายในตลาดโลกได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งเป็น Soft Power ทำให้เปิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย -
อย. ห่วงใย โรคผิวหนังที่มากับหน้าฝน
หน้าฝนเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง ทำให้เชื้อราและเชื้อแบคทีเรียมีการเจริญเติบโตได้ดี อีกทั้งคนส่วนใหญ่ต้องเดินทางไปทำงานนอกบ้าน อาจโดนฝน ลุยน้ำ เสื้อผ้าเปียก ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังตามมาได้ง่าย เราจึงควรหาวิธีป้องกันและดูแลรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งโรคผิวหนังที่เราควรทำความรู้จัก มีดังนี้
1.โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อรา ได้แก่
1.1 กลาก (Dermatophytosis) เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes มีลักษณะเป็นผื่นสีแดงเป็นวงกลม มีขอบเขตชัดเจน ขอบภายนอกมีสีเข้มกว่าผิวหนังด้านใน อาจพบขุยหรือสะเก็ดบาง ๆ ที่ขอบวงแหวน และมีอาการคัน กลากสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสคน หรือสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้ที่เป็นโรค สามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกายมักพบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น หนังศีรษะ รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ ฝ่าเท้า และซอกนิ้วเท้า
การรักษา 1. ยาทาภายนอก เช่น Terbinafine cream, ยาทากลุ่ม Imidazoles
2. ยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน ได้แก่ ยากลุ่ม Imidazoles เช่น Ketoconazole, Fluconazole, Itraconazole, Griseofulvin หรือ Terbinafine
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เนื่องจากการเลือกใช้ยาและระยะเวลาการใช้จะขึ้นกับบริเวณที่เป็น และความรุนแรงของโรค
1.2 เกลื้อน (Pityriasis Versicolor) มักเกิดจากเชื้อราชื่อว่า Malassezia furfur เป็นเชื้อราประจำถิ่นที่อาศัยอยู่บนผิวหนัง เมื่อถูกกระตุ้นด้วย ความชื้น ผิวที่มีความมัน เหงื่อออกปริมาณมาก หรือในคนที่มีภูมิคุ้มกันลดลง จะเกิดเกลื้อนขึ้น มีลักษณะเป็นผื่นวงกลมหลายวง มีขุยละเอียด สีแตกต่างกัน มักเกิดบริเวณลำตัว เช่น หลัง หน้าอก ท้อง ไหล่ และคอ โดยส่วนใหญ่มักไม่คัน
การรักษา 1. ยาทาภายนอก ได้แก่ 20-25% Sodium thiosulfate หรือ 40-50% Propylene glycol หรือ ยาทากลุ่ม Imidazoles เช่น Clotrimazole, Econazole หรือ Miconazole
2. ยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน เหมาะสำหรับในรายที่เป็นกว้าง หรือ บริเวณที่ทายาได้ลำบาก ได้แก่ Ketoconazole, Itraconazole หรือ Fluconazole
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เนื่องจากการเลือกใช้ยาและระยะเวลาการใช้จะขึ้นกับบริเวณที่เป็น และความรุนแรงของโรค เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
2. โรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s foot หรือ Hong Kong foot) เกิดจากการระคายเคืองของผิวหนังเนื่องจากความเปียก อับชื้น และการสัมผัสสิ่งสกปรก ทำให้ผิวหนังอักเสบขึ้น ลอก คัน และแสบ เกิดผื่นแดง และเป็นขุยบริเวณง่ามนิ้วเท้า เกิดตุ่มน้ำเล็ก ๆ สีแดงที่บริเวณฝ่าเท้าหรือง่ามนิ้วเท้า เท้ามีกลิ่น อาจติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราตามมา
การรักษา 1. เมื่อเริ่มมีแผลถลอกบริเวณเท้าควรทายาฆ่าเชื้อ เช่น Povidone Iodine หลังล้างเท้า
2. หากเกิดผื่นน้ำกัดเท้าแล้ว ให้ใช้ยาทาแก้คัน หรือยาทาแก้คันผสมยาฆ่าเชื้อรา ในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อรา ทาบริเวณผื่น หรือยาบรรเทาอาการคันแบบกิน เช่น ไฮดรอกซีซีน (Hydroxyzine) หรือ เซทิริซีน (Cetirizine)
3. ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อรา เมื่อเกิดการติดเชื้อราร่วมด้วย โดยตัวยาและระยะเวลาการใช้ยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ
3.โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic eczema) เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เป็นผื่นแดง มีตุ่มน้ำขนาดเล็ก มีอาการคันมาก โดยผื่นถูกกระตุ้นให้เห่อขึ้นได้เมื่อมีความชื้นมาก เหงื่อที่ระบายได้ยาก และการเสียดสี
การรักษา 1. เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยทำความสะอาดด้วยสารทำความสะอาดที่ไม่รุนแรงต่อผิว และเลือกทาครีมบำรุงที่ไม่มีสารก่อระคายเคือง
2. สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป
4.โรคเท้ามีกลิ่นเหม็น (Pitted keratolysis) มีอาการ คือ เท้ามีกลิ่นเหม็นมาก มีหลุมเล็ก ๆ ที่ฝ่าเท้า สาเหตุหลักของโรคเท้ามีกลิ่นเหม็นเกิดจากเหงื่อและแบคทีเรีย รวมถึงการใส่รองเท้าหรือถุงเท้าที่ระบายเหงื่อได้ไม่ดี ทำให้เกิดความอับชื้น
การรักษา 1. ยาที่ลดความอับชื้น เช่น 20% Aluminium Chloride เป็นผงแป้ง ใช้วันละ 1 ถึง 2 ครั้ง หรือตามแพทย์สั่ง
2. ยาทาที่ช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย เช่น Clindamycin หรือ Erythromycin เป็นต้น
3. ยาช่วยให้ผิวหนังลอกและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Benzoyl peroxide เป็นต้น
ควรเลือกซื้อครีมบำรุงและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ มีฉลากภาษาไทยที่ระบุเลขที่ใบรับจดแจ้งอย่างชัดเจน อย่าหลงเชื่อการโฆษณาหรือรีวิวเกินจริง และเนื่องจากโรคผิวหนังบางชนิดมีอาการคล้ายคลึงกัน จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับการรักษาและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
----------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
อย. เผยผลงานปีงบ 2566 ฟันคดีโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสถานประกอบการผิดกฎหมาย
อย. เผยผลงานปีงบ 2566 ฟันคดีโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสถานประกอบการผิดกฎหมายกว่า 3,200 คดี จับกุมร่วมกับ บก.ปคบ. รวมมูลค่าของกลางกว่า 180 ล้านบาท
อย. เผยผลงานปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จัดการปัญหาโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพและสถานประกอบการที่ผิดกฎหมายกว่า 3,200 คดี ขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดร่วมกับ ปคบ. รวมของกลางมูลค่ากว่า 180 ล้านบาท ยืนยัน อย. จะเฝ้าระวังตรวจสอบโฆษณาและผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างต่อเนื่องและจัดการกับคนทำผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมไปถึงเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เตือนภัยเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อโฆษณาที่เป็นเท็จ หลอกลวง และได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัย
ภก.วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่าในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการเฝ้าระวัง ตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมทั้งสถานประกอบการผลิต นำเข้า จำหน่าย และการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทางสื่อออนไลน์ ตามแผนปฏิบัติการประจำปีและการตรวจสอบเรื่องร้องเรียน สรุปดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิดทั้งคดีโฆษณา ผลิตภัณฑ์และสถานประกอบการ 1,907 คดี และส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมาย 1,335 คดี รวม 3,242 คดี โดยคิดเป็นคดีโฆษณาฝ่าฝืนกฎหมาย 69.09%
ดำเนินการปราบปรามผู้ลักลอบผลิต นำเข้า ขาย ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายร่วมกับหน่วยตำรวจสอบสวนกลาง บก.ปคบ. 121 คดี แถลงข่าว 21 ครั้ง โดยคดีที่สำคัญ ๆ เช่น ทลายเครือข่ายผลิตยาแก้ไอปลอม ปราบยาเถื่อนในคลินิกหรูย่านเกษรทาวเวอร์ จับกุมแหล่งผลิตซิลิโคนจมูกเถื่อนส่งขายคลินิกเสริมความงาม บุกโรงงานทลายเครือข่ายทุนจีนผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรจีนทลายแหล่งเก็บและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางปลอม จับกุมแก๊งนายทุนเวียดนามหลอกขายผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ จับกุมแหล่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลักลอบใส่วัตถุออกฤทธิ์ ร่วมกับตำรวจสากลในการทลายเครือข่ายจำหน่ายยาลดน้ำหนักข้ามชาติ ฯลฯ รวมมูลค่าของกลาง กว่า 180 ล้านบาท
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย. จะตรวจสอบ เฝ้าระวังการโฆษณาและผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัย และไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line: @FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
----------------
จดอย.
บริการจดทะเบียน อย.
บริษัท จด อย.
ขอ อย.
-
อย.เตือนอย่าซื้อมากิน "ขนมรูปแบบโรลออน" พบวางขายหน้าโรงเรียน ชี้ลักลอบนำเข้า เสี่ยงอันตราย หากพบมีความผิดทั้งคนนำเข้า-จำหน่าย
วันนี้ (3 ก.ย.2566) ภก.เลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ขนมเด็กที่มีลักษณะแปลกใหม่ เพื่อดึงดูดการขายในเด็กวัยเรียน มักจะมีสีสันสดใส กลิ่นรสแปลกใหม่ หรือบรรจุในภาชนะรูปแบบต่าง ๆ เพื่อดึงความสนใจเด็ก ๆ
ล่าสุดพบขนมบรรจุในขวดมีหัวเป็นลูกกลิ้ง หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า โรลออน พบวางจำหน่ายใกล้โรงเรียน หรือจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้า ไม่ได้รับอนุญาต จุดสังเกตคือ ไม่มีฉลากภาษาไทย และไม่มีเลข อย. ไม่ทราบสูตรส่วนประกอบหรือส่วนผสม ไม่มีผู้นำเข้า จึงขอเตือนว่าไม่ควรซื้อมากิน เพราะมีความเสี่ยงได้รับสารที่อาจเป็นอันตราย หรือใช้วัตถุกันเสีย สี วัตถุแต่งกลิ่นที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด หรือมีสารปนเปื้อนจากการผลิต และภาชนะบรรจุที่ไม่ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้ ขนมที่ได้รับอนุญาตต้องมีฉลากภาษาไทย แสดงเลข อย. ส่วนประกอบหรือส่วนผสม ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า วันเดือนปีที่ผลิต และควรบริโภคก่อน หรือหมดอายุ น้ำหนักหรือปริมาตรสุทธิ และข้อมูลการแต่งกลิ่น และวัตถุเจือปนอาหาร เช่น สี วัตถุกันเสีย และสารให้ความหวานแทนน้ำตาล
หากพบขนมรูปแบบโรลออนวางขายโดยไม่ขออนุญาตนำเข้า ทั้งผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายจะมีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และเมื่อตรวจวิเคราะห์แล้วพบใช้วัตถุเจือปนอาหารไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และกรณีพบว่าภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารไม่มีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากผู้บริโภคสงสัยว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย หรือมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 -
อย.เตือนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวีซีวัน ตราอ็อปติมอรส์ "VC-1 optimores"เลขสารบบอาหาร 73-1-11365-5-0261
ผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ Optimores VC-1 ซึ่งแสดงข้อความ "ตาไม่พร่า ไม่มัวอีกเลย VC-1 วิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศ.ภญ.ดร. พรอนงค์ อร่ามวิทย์" และ "ผู้สูงอายุ ตาแห้ง พร่ามัว VC-1 ตาชุ่มชื้น มองเห็นขัด" แต่หัวหน้าโครงการวิจัยมีหนังสือระบุว่า "งานวิจัยดังกล่าวเป็นเพียงการทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ไม่รวมถึงการทดสอบทางคลินิกในมนุษย์" นั้นเป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ ของอาหารอันเป็นเท็จโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป... -
อย. ยืนยัน ไม่พบการใช้สารเคมีอมตะในเครื่องสำอางที่จำหน่ายในไทย
อย. ตรวจสอบแล้ว ยืนยันไม่พบการใช้สาร PFAS หรือสารเคมีอมตะในเครื่องสำอางที่จดแจ้งในประเทศไทย ขอผู้บริโภคมั่นใจ อย. มีระบบเฝ้าระวังและติดตามความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ
จากที่มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์อ้างถึงงานวิจัยหลายฉบับที่พบสารประกอบ PFAS สังเคราะห์หรือสารเคมีอมตะในเครื่องสำอางกันน้ำ ซึ่งอาจสะสมในร่างกายจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น คอเลสเตอรอลสูง โรคต่อมไทรอยด์ โรคไต ภูมิคุ้มกันลดลง ฮอร์โมนผิดปกติ ไปจนถึงโรคมะเร็งนั้น เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเครื่องสำอางที่ขออนุญาตจดแจ้งในประเทศไทยแล้ว ไม่พบการใช้สาร PFAS (Per- and polyfluoroalkyl substances) หรือสารเคมีอมตะ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ห้ามใช้สารดังกล่าวรวมถึงอนุพันธ์ของสาร 13 รายการ ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2566 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 เช่นเดียวกับประเทศในสหภาพยุโรปและอาเซียน เนื่องจากจัดเป็นสารที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ ซึ่งก่อนหน้าการออกประกาศห้ามใช้สารนี้ อย. ได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบจดแจ้งและตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่พบว่ามีการใช้สารนี้ในเครื่องสำอางแต่อย่างใด
ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจ อย. มีการเฝ้าระวังและติดตามความปลอดภัยในการใช้สารต่าง ๆ ในเครื่องสำอางอย่างสม่ำเสมอ หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line @FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. สร้างความเข้าใจกับ สสจ. ทั่วประเทศ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
อย. จัดประชุมร่วมกับ สสจ.ทั่วประเทศ สื่อสารนโยบายและการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ สร้างความเข้าใจกฎหมายฉบับใหม่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขับเคลื่อน Quick Win 100 วัน และเรื่องของการโฆษณาเกินจริงทางสื่อต่าง ๆ ชูนโยบาย 5S เพิ่ม RST รวดเร็ว ลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสู่ดิจิทัล สนับสนุนความสามารถในการแข่งขัน
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานหลักในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งอาหาร ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน และวัตถุเสพติด โดยมีเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง คือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ (สสจ.) และเป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อดำเนินการตามพันธกิจหลักในการกำกับดูแลมาตรฐานการผลิต โดยมุ่งหวังให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอดภัย ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามพันธกิจบรรลุเป้าหมาย จึงได้มีการสื่อสารข้อมูลองค์ความรู้ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ในวันนี้ (6 พฤศจิกายน 2566) อย. จึงได้จัดประชุมสื่อสารนโยบายและการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อทำความเข้าใจในกฎหมายฉบับใหม่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสดงข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่นำไปสู่การดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2567 Quick Win 100 วัน และเรื่องของการโฆษณาเกินจริงทางสื่อต่าง ๆ ร่วมด้วย 5S ของ อย. คือ Sustainability สร้างความมั่นคงทางยาและเวชภัณฑ์ Speed ลดขั้นตอนการให้บริการ Safety สร้างความรอบรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ฯลฯ Satisfaction ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง และ Supporter สนับสนุนให้มีขีดความสามารถการแข่งขัน และเพิ่ม RST เริ่มจาก Rethink เปลี่ยนแนวความคิดเดิม Reform ปรับปรุง เปลี่ยนรูปแบบ Rerole ปรับบทบาท ทำงานเชิงรุก และ Redesign ออกแบบใหม่ ส่วน S คือ Security ต้องเฝ้าระวังความปลอดภัยของผู้บริโภค และ T คือ Transparency ความโปร่งใส
การประชุมในวันนี้ จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพของเจ้าหน้าที่ สสจ. ให้มีความรู้ ความเข้าใจกฎหมายใหม่ ๆ สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้อนุญาต ด้วยความมั่นใจ และสามารถส่งต่อองค์ความรู้สู่ผู้ประกอบการ เป็นการช่วยส่งเสริมสนับสนุนผู้ผลิตระดับฐานรากทั่วประเทศในการพัฒนาสถานที่ กระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่า คุณภาพ และความปลอดภัยสู่ผู้บริโภค เกิดการสร้างรายได้ให้ครอบครัวและชุมชนต่อไป
-
อย. แจ้งผลตรวจเอนฟาโกร เอพลัส มายด์โปร ดีเอชเอ พลัส เอ็มเอฟจีเอ็ม โปร 4 วิท ทู-เอฟแอล เครื่องหมายการค้า ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที หลังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทวนสอบแล้ว ผ่านมาตรฐาน ไม่ใช่อาหารปลอม
อย. แจ้งยกเลิกข่าวประกาศผลการตรวจพิสูจน์อาหาร อย. ตรวจพบเนื้อนมไม่รวมไขมัน ไม่เป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด ในผลิตภัณฑ์เอนฟาโกร เอพลัส มายด์โปร ดีเอชเอ พลัส เอ็มเอฟจีเอ็ม โปร 4วิท ทู-เอฟแอล เครื่องหมายการค้า ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที วันผลิต 05/04/2022 ควรบริโภคก่อน 05/10/2023 เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 66 หลังจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทวนสอบพบเนื้อนมไม่รวมไขมันเป็นไปตามมาตรฐาน ไม่เข้าข่ายเป็นอาหารปลอม
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยากล่าวว่าจากข่าวประกาศผลการตรวจพิสูจน์อาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจพบเนื้อนมไม่รวมไขมัน ไม่เป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด ในผลิตภัณฑ์เอนฟาโกร เอพลัส มายด์โปร ดีเอชเอ พลัส เอ็มเอฟจีเอ็ม โปร 4 วิท ทู-เอฟแอล เครื่องหมายการค้า ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที วันผลิต 05/04/2022 ควรบริโภคก่อน 05/10/2023 โดยผลการตรวจจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบเนื้อนมไม่รวมไขมันไม่เข้ามาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 352) พ.ศ. 2556 ซึ่งมีการเผยแพร่ข่าวเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 นั้น ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการทวนสอบการรายงานผลการทดสอบตัวอย่างฉบับที่ R66031600791 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2566 พบว่ามีการรายงาน “เนื้อนมไม่รวมไขมัน” คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยข้อเท็จจริงผลเป็นไปตามมาตรฐาน ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงได้ยกเลิกรายงานผลการทดสอบตัวอย่างฉบับดังกล่าว และออกรายงานฉบับแก้ไขลงวันที่ 24 ตุลาคม 2566 ให้กับ อย. ซึ่งรายงานผลการตรวจวิเคราะห์ ปรากฏดังนี้ ผลิตภัณฑ์เอนฟาโกร เอพลัส มายด์โปร ดีเอชเอ พลัส เอ็มเอฟจีเอ็ม โปร 4 วิท ทู-เอฟแอล เครื่องหมายการค้า ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที เลขสารบบอาหาร 20-1-03444-5-0019 วันผลิต 05 04 2022 ควรบริโภคก่อน 05 10 2023 ผู้ผลิต บริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผลการตรวจวิเคราะห์เนื้อนมไม่รวมไขมันร้อยละ 63.70 ของน้ำหนัก ซึ่งเมื่อรวมกับไขมันร้อยละ 12.30 ของน้ำหนัก รวมแล้วเนื้อนมทั้งหมดได้ ร้อยละ 76.00 ซึ่งพบว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด คือ มีเนื้อนมทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของน้ำหนัก สำหรับผลิตภัณฑ์ของนมชนิดแห้ง ดังนั้น อย.จึงยกเลิกประกาศผลการตรวจวิเคราะห์ฉบับเดิมดังกล่าวแล้ว และบริษัทฯ สามารถดำเนินการผลิตเพื่อจำหน่ายได้ตามปกติ แต่อย่างไรก็ตาม อย. ยังคงเฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างอาหารส่งตรวจวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป
หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai , Facebook:FDAThai , E-mail:1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ.1556 ปนฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สบส. รวบขบวนการรักษามะเร็งทิพย์ อวดอ้างสรรพคุณยา - พลังวิเศษ รักษาประชาชน
วันที่ 25 ตุลาคม 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ., พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.5 บก.ป., พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ปทส., พ.ต.อ.ปราโมทย์ โพธิ์พันธุ์ ผกก.สภ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดย นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภญ.อรัญญา เทพพิทักษ์ ผอ.ศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการทลายขบวนการรักษามะเร็งทิพย์อวดอ้างพลังวิเศษ และสรรพคุณยาเกินจริง จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย ตรวจยึดของกลาง 104 รายการ มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท
สืบเนื่องจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับการแจ้งเบาะแสจากประชาชนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของพระนรสีห์ วัดเขาพระครุฑ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เนื่องจากมีพฤติกรรมเปิดวัดเป็นสถานที่รักษาโรคให้กับประชาชนทั่วไป และมีการเรียกเก็บค่ายาในราคาสูง โดยยาที่ขายให้กับผู้เข้ารับการรักษาเป็นยาชนิดแคปซูล ไม่มีฉลาก เข้าข่ายเป็นการหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ และมีการเผยแพร่การรักษา และการเชิญชวน ให้ประชาชนทั่วไปเข้ารับการรักษาผ่านทางเพจเฟซบุ๊กชื่อ “สำนักพระกรรมฐานศากยาราม” (https://www.facebook.com/Sakayaram)
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. จึงได้ทำการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว พบว่า ได้มีการโพสต์รูปภาพ วิดีโอการรักษาโรค และข้อความสื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปเข้าใจว่า พระนรสีห์ฯ กับพวกสามารถตรวจรักษา โรคมะเร็งโรคเบาหวาน โรคร้ายแรงอื่น ๆ หายขาดใน 1 - 3 เดือน ได้ อีกทั้งมีการโพสต์ข้อความโอ้อวดสรรพคุณการรักษาโรคของผลิตภัณฑ์ “มหาโอสถหลวงพ่อนรสีห์” (หงส์เกี้ยวมังกร, ตะวันฉาย, เลือดมังกร และจันทร์ฉาย) ว่ามีสรรพคุณการรักษาโรคครอบจักรวาล อาทิ เช่น “สกัดจากสมุนไพรความเข้มข้นของตัวยาสูงกว่าผงสมุนไพรบดธรรมดาถึง 10 เท่า,ล้างสารพิษ, เสริมภูมิต้านทาน, ปวดเข่า, ปวดข้อ, ปวดขา, ปวดหลัง, หมอนรองกระดูก, เก๊าท์, ลดบวม, ลดการอักเสบ, กรดไหลย้อน, โรคตับ, โรคไต, โรคหัวใจ, ปอด, เส้นเลือดตีบ, ไขมันอุดตัน, โรคระบบสมอง, โรคมะเร็ง, โรคไตวาย, โรคเบาหวาน, โรคอัลไซเมอร์, ประสาทเสื่อม, กระตุ้นการทำงานของภูมิต้านทานโรค และคืนความหนุ่มสาว” เป็นต้น
อีกทั้งมีการโพสต์ที่มาของวิชาการรักษาโรคมะเร็งว่าค้นพบจากการกรรมฐานรักษาสุนัขชื่อ ปีใหม่ ที่ป่วยเป็นมะเร็งจนหาย เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจตนว่ามีพลังวิเศษในการรักษาโรค เป็นการอาศัยความเชื่อ ความศรัทธา ทางศาสนา และนำความหวาดกลัวความทุกข์ของประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มาเป็นเครื่องมือ ซึ่งประชาชนกลุ่มดังกล่าวอยู่ในภาวะที่อ่อนไหวและอาจหลงเชื่อ เข้ารับการรักษาจนได้รับความเสี่ยงต่อการวินิจฉัยโรคที่ผิดพลาด รักษาไม่ได้ผลและเสียโอกาสในการรักษาโรคที่แท้จริง
เมื่อทำการสืบสวน ทราบว่า พระนรสีห์ฯ มีพฤติกรรมเปิดวัดเป็นสถานที่รักษาโรคให้กับประชาชนทั่วไป และมีประชาชนหลายคนนั่งรอรับการตรวจรักษาจริง โดยมีผู้ร่วมขบวนการในการรักษาโรคให้ประชาชนและมีการแบ่งหน้าที่กันทำ ดังนี้ 1. น.ส.อรินดาฯ (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่จ่ายยา รับเงินค่ารักษา ประสานงานติดต่อผู้ป่วย และให้ความเห็นเบื้องต้นกับผู้ป่วย 2. นายเดชชรินทร์ฯ (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพระนรสีห์ในการต้อนรับ คัดกรองผู้ป่วย และให้ความเห็นเบื้องต้น 3. น.ส.อารียา หรือมดฯ (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยพระนรสีห์ และบางครั้งทำหน้าที่รักษาแทนพระนรสีห์หากพระไม่ว่าง โดยเจาะเข็มตามร่างกายของผู้ป่วยตามที่พระสอน ซึ่ง น.ส.อารียา หรือมดฯ เป็นผู้ที่พระนรสีห์ฯ กล่าวอ้างว่า เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย โดยตนเป็นผู้รักษาจนหายภายใน 2 เดือน และบรรลุโสดาบันแล้ว 4. นายรวีวัชรฯ (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่ในการบันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวการรักษาเพื่อไปลงเพจเฟซบุ๊ก และ 5. นาง วชิรอักษราฯ (สงวนนามสกุล) ทำหน้าที่บรรจุยาสมุนไพรลงแคปซูลตามคำสั่งของพระนรสีห์ฯ และส่งยาให้ผู้ติดต่อขอซื้อทางออนไลน์ อีกทั้งในระหว่างรอตรวจรักษาจะพยายามพูดโน้มน้าวและวินิจฉัยโรคให้ผู้ที่มาตรวจรักษารู้สึกว่าตนเองป่วย เช่น บอกว่าผิวดำคล้ำ มีกลิ่นตัว ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เป็นต้น เมื่อประชาชนทั่วไปหลงเชื่อก็จะให้ซื้อยาไปรับประทาน ในราคาสูงถึงชุดละ 4,000 บาท (รับประทานได้ 10 วัน) เพื่อให้อาการป่วยดีขึ้นและกลับนัดหมายเพื่อรับการในรักษาภายหลัง
โดยวิธีการรักษาโรคให้ประชาชน พระนรสีห์ฯ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นผู้ทำการตรวจรักษา โดยมีวิธีการตรวจรักษาที่ไม่ใช่วิธีการตามหลักวิชาการทางการแพทย์ เช่น การให้ผู้ป่วยนอนราบไปกับพื้น แล้วใช้มือสัมผัสตัวและนำหินมาวนบริเวณหน้าท้อง อก และใบหน้า และสอบถามอาการ พร้อมทั้งวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งปอด หรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ จากนั้นมีการใช้เข็มลักษณะคล้ายเข็มเย็บผ้าแทงไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้อง ปลายนิ้วมือทั้งสองข้าง และต้นขาทั้งสองข้าง ตั้งแต่โคนขาจนถึงบริเวณเหนือหัวเข่าจำนวนหลายครั้ง บางราย แทงประมาณ 20 ครั้ง เพื่อให้เลือดออกมาจากรอยเจาะจากนั้นใช้แท่งเหล็กลักษณะคล้ายปากกาถูวนบริเวณแผลที่มีเลือดออก เป็นต้น
เมื่อส่งผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่อวดอ้างสรรพคุณการรักษาส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีส่วนประกอบเป็นชิ้นส่วนพืชและชิ้นส่วนอื่นที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นชนิดใดประกอบกับมีการโพสต์แสดงข้อความว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้ดังนั้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงจัดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรซึ่งจากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรแต่อย่างใด
จากพฤติการณ์ของพระนรสีห์ฯ กับพวก เป็นการร่วมกันหลอกลวงประชาชนโดยทั่วไป ด้วยการโพสต์ข้อความที่สื่อให้เข้าใจว่า พระนรสีห์ฯ กับพวก สามารถตรวจรักษาโรค รวมทั้งอวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ยาของตนว่าสามารถรักษาโรคร้ายแรงต่าง ๆ ให้หายขาดได้ ผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “สำนักพระกรรมฐานศากยาราม” ซึ่งเปิดเป็นเพจแบบสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงและพบเห็นได้ ซึ่งเป็นความเท็จ เนื่องจาก พระนรสีห์ฯ ไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และวิธีการตรวจรักษาก็ไม่ใช่วิธีการตามหลักวิชาการทางการแพทย์แต่อย่างใด ประกอบกับผลิตภัณฑ์ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวร่วมกันขายไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษาโรคตามที่โพสต์โฆษณาไว้ในเพจเฟซบุ๊ก เมื่อมีผู้หลงเชื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวจะฉวยโอกาสหลอกเอาทรัพย์สินของประชาชน โดยตรวจวินิจฉัยว่าบุคคลนั้นป่วยเป็นโรคร้ายแรง แล้วขายผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าเป็นยารักษาโรคให้ในราคาที่สูง
พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. จึงทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับ พระนรสีห์ฯ กับพวกรวม 6 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันดำเนินการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันขายผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับ, ร่วมกันโฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันโฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพรในลักษณะโอ้อวดสรรพคุณว่าสามารถบำบัดรักษา บรรเทา หรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยได้อย่างศักดิ์สิทธิ์หรือรักษาโรค
ให้หายขาดได้และแสดงสรรพคุณอันเป็นเท็จเกินความจริง,ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา”
โดยพระนรสีห์ มีความผิดเพิ่มเติมในฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต”ต่อมาในวันที่ 24 ตุลาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับ กก.5 บก.ป., กก.5 บก.ปทส., สภ.อู่ทอง, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดสุพรรณบุรี นำหมายค้นศาลอาญา เข้าทำการตรวจสอบสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวน 2 แห่ง ดังนี้
1. สำนักพระกรรมฐาน ศากยราม (เขาพระครุฑ) ต.พลับพลาไชย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ตรวจรักษาผู้ป่วย ตรวจยึดแคปซูลบรรจุผงสีน้ำตาล จำนวน 7,586 แคปซูล, อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจรักษา รวมจำนวน 42 รายการ และเงินสด จำนวน 114,000 บาท
2. เทวสถาน ศิวาลัยเทพมณเฑียรทอง ต.สามชุก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ผลิต จัดเก็บ และจัดส่งแคปซูลบรรจุผงสีน้ำตาล ให้แก่ผู้ที่ติดต่อขอซื้อผ่านทางออนไลน์ตรวจยึดแคปซูล บรรจุผงสีน้ำตาล จำนวน 8,850 แคปซูล, แคปซูลเปล่า 18,000 แคปซูล, ผงสีน้ำตาลสำหรับบรรจุแคปซูล จำนวน 10 กก., อุปกรณ์ส่วนควบในการผลิต ผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมจำนวน 62 รายการ และเงินสด จำนวน 1,763,200 บาท
สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย ได้แก่ 1. พระนรสีห์ หรือ นายสิทธัตถ์ฯ (สงวนนามสกุล), 2. นายเดชชรินทร์ฯ (สงวนนามสกุล) 3. น.ส.อรินดา หรือหนึ่งฯ (สงวนนามสกุล) 4. น.ส.อารียา หรือมดฯ (สงวนนามสกุล) 5. นายรวีวัชรฯ (สงวนนามสกุล) และ 6. นาง วชิรอักษรา หรือแน่งฯ (สงวนนามสกุล) รวมตรวจยึดแคปซูลบรรจุผงสีน้ำตาล จำนวน 16,436 แคปซูล, แคปซูลเปล่า 18,000 แคปซูล, ผงสีน้ำตาลสำหรับบรรจุแคปซูล จำนวน 10 กก., อุปกรณ์ส่วนควบในการผลิต ผลิตภัณฑ์สมุนไพร , อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาโรค และเงินสด กว่า 2 ล้านบาท รวม 104 รายการ มูลค่าความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ดำเนินคดี
อนึ่ง จากการร่วมตรวจสอบสำนักกรรมฐานศากยราม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปทส. และเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่าอาคาร สิ่งปลูกสร้างภายในสถานดังกล่าว จำนวน 18 หลัง ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาทุ่งดินดำ และป่าเขาตาเก้า อันเป็นการกระทำความผิดฐาน “บุกรุก ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และบุกรุก ก่อสร้าง หรือแผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งได้มีการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี อีกส่วนหนึ่ง
จากการสืบสวนเพิ่มเติมผู้ต้องหาบางส่วนให้การว่า พระนรสีห์จะจำวัดที่เทวสถานเป็นประจำ โดยจะเข้าวัดเฉพาะในวันที่มีการตรวจรักษา หากตรวจรักษาเสร็จเร็วก็จะเข้าให้พระอีกรูปที่พักอยู่ด้วยกันขับรถยนต์มาจำวัดที่เทวสถาน
จากการสืบสวนเพิ่มเติมทราบว่า สำนักพระกรรมฐานศากยารามได้สร้างขึ้นประมาณเดือนมีนาคม 2561 พร้อมทั้งเริ่มมีการโพสต์กิจกรรมต่าง ๆ ของวัดเรื่อยมา จนกระทั่งเริ่มมีการโพสต์การใช้พลังสมาธิเพื่อบำบัดรักษาโรคให้สุนัข และคนที่ป่วยเป็นมะเร็งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 - ปัจจุบัน (ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก “สำนักพระกรรมฐานศากยาราม) โดยพระนรสีห์บวชเมื่อเดือนเมษายน 2561 ในฝ่ายมหานิกาย ต่อมาในปี 2562 ได้ลาสิกขา และญัตติใหม่ในฝ่ายธรรมยุตินิกาย
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวมีความผิดตาม
กรณีพระนรสีห์
1. พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ฐาน “ -
อย. ห่วงใย ขนมหวานสาเหตุของโรคร้าย
ขนมหวานที่แสนอร่อยของใครหลายๆคนนั้น ไม่เพียงแต่จะมีหน้าตาที่ดูน่ารับประทานหรือรสชาติที่อร่อยแล้ว แต่ยังมาพร้อมกับโรคร้ายที่แฝงมากับขนมหวานนั้น ขนมหวานส่วนใหญ่มักทำมาจากแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็น คุกกี้ เค้ก เยลลี่ ลูกอม ไอศกรีม เป็นต้น เมื่อเรารับประทานอาหารเหล่านี้มากเกินไป อาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วนลงพุง โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจ อาการเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการทานแป้งและน้ำตาลที่มากเกินไปทั้งสิ้น
โดยน้ำตาล 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ และร่างกายในแต่ละวัยต้องการปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมกับวัยแตกต่างกันเพราะร่างกายมีการใช้พลังงานและการเผาผลาญของร่างกายที่แตกต่างกัน จึงมีการแนะนำการบริโภคน้ำตาลต่อวัน ดังนี้
1. เด็กและผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ที่ต้องการพลังงาน 1,600 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
ปริมาณน้ำตาลต่อวัน ไม่เกิน 4 ช้อนชา หรือ 16 กรัม
2. วัยรุ่นหญิง/ชาย วัยทำงาน ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
ปริมาณน้ำตาลต่อวัน ไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม
3. สำหรับผู้ที่ใช้พลังงานมาก เช่น นักกีฬา ที่ต้องการพลังงาน 2,400 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
ปริมาณน้ำตาลต่อวัน ไม่เกิน 8 ช้อนชา หรือ 32 กรัม
ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลโรคร้าย เราควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ควบคุมปริมาณน้ำตาลที่บริโภคต่อวัน โดยอ่านฉลากโภชนาการ ฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ (หรือฉลาก หวาน มัน เค็ม) ซึ่งจะบอกปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก่อนเลือกซื้อ เพียงเท่านี้ก็สามารถเลือกกินขนมหวานได้อย่างไร้กังวล -
อย. - กรมวิทย์ฯ ร่วมประชุมหารือพัฒนาแนวทางกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อผู้บริโภคปลอดภัย
วันที่ 30 ตุลาคม 2566 เวลา 11.30 น. นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมประชุมหารือกับคณะผู้บริหารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อร่วมกันพัฒนาแนวทางกำกับดูแลและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค เน้นการดำเนินการที่โปร่งใส รวดเร็ว มุ่งสู่การดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุม 110 ชั้น 1 อาคาร 100 ปีการสาธารณสุขไทย (อาคาร 14) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
-
ความรู้ อย. วิธีเลือกหมูให้ปลอดภัย จากสารเร่งเนื้อแดง
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อหมูที่เรารับประทานปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดง วันนี้ อย. มีความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการเลือกซื้อหมูให้ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีต่อตัวเรา ไปติดตามกันได้เลย
สารเร่งเนื้อแดงเป็นสารสังเคราะห์ในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (Beta-Agonist) มักจะนิยมใช้สารเร่งเนื้อแดงผสมในอาหารสัตว์เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพื่อประโยชน์ในการลดไขมันและเพิ่มปริมาณเนื้อแดงในตัวหมู สารนี้ส่งผลเสียทั้งต่อตัวสัตว์และอาจตกค้างทำอันตรายถึงผู้บริโภคด้วย
วิธีสังเกตว่าหมูที่เราซื้อมีสารเร่งเนื้อแดงหรือไม่ สังเกตได้จากเนื้อหมูจะมีลักษณะสีแดงคล้ำกว่าปกติ เมื่อหั่นและปล่อยทิ้งไว้จะมีลักษณะแห้ง ในขณะที่เนื้อหมูปกติเมื่อหั่นทิ้งไว้ จะพบน้ำซึมออกมาบริเวณผิว ส่วนของสามชั้น เนื้อหมูที่มีการใช้สารเนื้อแดง จะมีปริมาณเนื้อแดงสูงถึง 3 ส่วนต่อมัน 1 ส่วน ขณะที่สามชั้นของเนื้อหมูปกติจะมีเนื้อแดง 2 ส่วนต่อมัน 1 ส่วน
วิธีเลือกเนื้อหมูให้ปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดง
1. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หรือได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์
2. เนื้อหมูมีสีชมพูปนแดงเรื่อๆ นุ่ม ผิวเป็นมัน เนื้อแน่น
3. ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าหรือมีสีเขียวและส่วนที่เป็นมันแข็งควรเป็นสีขาวขุ่น
4. ไม่ควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่มีสีแดงมากเกินไปและมีไขมันบาง
5. กรณีซื้อเนื้อหมูแช่เย็น ควรสังเกตวันที่ผลิตบนบรรจุภัณฑ์ ซึ่งไม่ควรเกิน 3 วัน
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กำหนดให้อาหารทุกชนิด ต้องไม่พบการปนเปื้อนของสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ และเกลือของสารกลุ่มนี้ หากพบเนื้อสัตว์มีสีแดงผิดปกติ หรือสงสัยว่ามีการลักลอบใส่สารดังกล่าว สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วย อย. 1556 หรือ ผ่าน Line@FDATHAI -
อย. ขอผู้บริโภควางใจ น้ำยายืดผมในประเทศไทยไม่พบสารก่อมะเร็ง
อย. ตรวจสอบไม่พบการใช้สารฟอร์มาลดีไฮด์และเมทิลีน ไกลคอล เป็นส่วนผสมในสูตรน้ำยายืดผมในประเทศไทย ขอผู้บริโภคอย่ากังวล แนะซื้อเครื่องสำอางจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีฉลากภาษาไทย พร้อมข้อมูลเลขที่ใบรับจดแจ้ง เพื่อความปลอดภัย
กรณีสื่อสังคมออนไลน์เผยว่าองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาเตรียมแบนน้ำยายืดผมตรง เพราะมีส่วนประกอบของสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งเป็นสารเคมีที่กระตุ้นโรคมะเร็งนั้น เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า สารฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นก๊าซที่ไม่มีสีและมีกลิ่นฉุนมาก หากสัมผัสหรือสูดดม จะก่อให้เกิดการระคายเคืองตา จมูกและผิวหนัง ประเทศไทยแบนมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 โดยประกาศให้สารฟอร์มาลดีไฮด์ รวมถึงสารเมทิลีน ไกลคอล (Methylene glycol) ซึ่งสามารถปลดปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์ได้ เป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เนื่องจากเป็นสารก่อมะเร็ง สอดคล้องกับมาตรฐานอาเซียนและยุโรป จากข่าวดังกล่าว อย. ตรวจสอบน้ำยายืดผมที่จดแจ้งแล้ว ยืนยันไม่พบการใช้สารฟอร์มาลดีไฮด์และเมทิลีน ไกลคอล เป็นส่วนผสม
ขอเตือนผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้รับจ้างผลิตห้ามนำสารนี้มาผสมในเครื่องสำอาง หากฝ่าฝืนจะมีโทษทางกฎหมาย ผู้ขายต้องระมัดระวังการเลือกซื้อเครื่องสำอางมาจำหน่าย ผู้บริโภคควรซื้อเครื่องสำอางจากผู้ขายที่น่าเชื่อถือ มีหลักแหล่งแน่นอน ผลิตภัณฑ์ต้องมีฉลากภาษาไทย ระบุข้อความครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ เลขที่ใบรับจดแจ้ง ชื่อเครื่องสำอาง ชื่อทางการค้า ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม วิธีใช้ ชื่อ ที่ตั้งของผู้ผลิตหรือนำเข้า ปริมาณสุทธิ ครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ คำเตือน หรือตรวจสอบข้อมูลให้มั่นใจก่อนซื้อว่าเป็นเครื่องสำอางที่จดแจ้งแล้วที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ” หรือทาง Line และ Facebook FDAThai หากพบผลิตภัณฑ์ที่น่าสงสัยสามารถร้องเรียนที่สายด่วน อย. โทร. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือ ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. เรียกคืนยาลดความดันเออบีซาแทน (Irbesartan) บางรุ่นที่พบการปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็ง
อย. เรียกเก็บคืนยาลดความดันโลหิตเออบีซาแทน (Irbesartan) เฉพาะบางรุ่นการผลิตที่ใช้วัตถุดิบที่ปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็งเอแซดบีที (Azidomethyl biphenyl tetrazole; AZBT) ขอผู้ป่วยอย่าตื่นตระหนก อย. ยืนยันยารุ่นการผลิตอื่นในท้องตลาดมีความปลอดภัย
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า กรณีที่ต่างประเทศมีการเรียกคืนยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเออบีซาแทน (Irbesartan) จากบริษัทผู้ผลิต เนื่องจากพบการปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็งเอแซดบีทีในวัตถุดิบที่ใช้ผลิตยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเร่งให้ผู้ผลิตตรวจสอบและเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบที่ไม่มีการปนเปื้อน ควบคู่ไปกับการตรวจสอบเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ยาที่จำหน่ายในท้องตลาด โดย อย. เก็บตัวอย่างวัตถุดิบยาทุกแหล่งที่นำมาใช้ในการผลิตยา ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อพบว่ามีวัตถุดิบบางรุ่นที่พบปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็งเกินเกณฑ์สากลที่ยอมรับได้ อย. จึงสั่งให้ผู้รับอนุญาตผลิตเรียกเก็บคืนยาสำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบที่พบการปนเปื้อน และแจ้งเตือนการเรียกเก็บคืนยาไปยังโรงพยาบาล คลินิก และร้านยา ควบคู่กับการประสานให้ผู้รับอนุญาตผลิตชดเชยเปลี่ยนยารุ่นการผลิตอื่นที่ปลอดภัยต่อไป อย่างไรก็ตาม การปนเปื้อนของสารที่อาจก่อมะเร็งดังกล่าวพบเพียงเฉพาะบางรุ่นการผลิตในผลิตภัณฑ์ยาสำเร็จรูปที่เรียกคืนเท่านั้นโดยรายการยาที่เรียกเก็บคืนสามารถตรวจสอบได้จากเอกสารแนบท้าย
สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาเออบีซาแทนเพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง ไม่ควรหยุดยาทันทีเนื่องจากยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเป็นยาที่จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่อง และขอให้ตรวจสอบยาที่ใช้อยู่ หากพบว่าเป็นรุ่นการผลิตที่เรียกเก็บคืน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และขอเน้นย้ำว่าผู้ป่วยยังคงสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ยาเออบีซาแทนยี่ห้อเดิมในรุ่นการผลิตอื่นที่ไม่มีการปนเปื้อนได้ ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ email : QA@fda.moph.go.th หรือ โทร 025907405 -
อย. แนะเพิ่มเติมประชาชนที่ใช้ยาเออบีซาแทน (Irbesartan)
อย. แนะวิธีตรวจสอบรุ่นการผลิตของยาลดความดันเออบีซาแทน พร้อมคำแนะนำหากพบเป็นยารุ่นการผลิตที่ถูกเรียกคืน ย้ำอย่าหยุดยาทันที
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เรียกคืนยาลดความดันเออบีซาแทน (Irbesartan) 42 รุ่น ที่พบการปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็ง นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ขอชี้แจงเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาเออบีซาแทนเพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูงอยู่ อย. มีคำแนะนำ ดังนี้
1. ขอให้ตรวจสอบว่ายาเออบีซาแทนที่ใช้อยู่ เป็นรุ่นการผลิตที่ถูกเรียกคืนหรือไม่
2. หากพบว่าเป็นรุ่นการผลิตที่ถูกเรียกคืน ให้เปลี่ยนยา ณ สถานพยาบาลหรือร้านขายยาที่รับยา
3. อย่าหยุดรับประทานยาเอง โดยทันที และให้รับประทานยาต่อจนกว่าจะเปลี่ยนยาได้
ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทร 0 2590 7405
-
อย. เตือนผู้ปกครอง ระวังลูกน้อยได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด
อย. แนะผู้ปกครอง ระมัดระวังการใช้ยาน้ำลดไข้สำหรับเด็กที่จำหน่ายในท้องตลาด อ่านฉลากและเอกสารกำกับยาให้ละเอียด ลดความเสี่ยงได้รับยาพาราเซตามอลเกินขนาด ย้ำประชาชนใช้ยาให้ถูกต้องตามหลักการใช้ยา 5 ถูก
กรณีที่มีผู้ใช้งานสื่อโซเชียลมีเดียแชร์โพสต์ซึ่งมีข้อความแนะนำยาน้ำลดไข้สำหรับเด็กพาราเซตามอล ว่าเป็นยาน้ำเด็กที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินนั้น
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ยาน้ำสำหรับเด็กที่จำหน่ายในท้องตลาดถึงแม้ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยาเดียวกันแต่อาจมีขนาดความแรงที่แตกต่างกัน จึงมีความเสี่ยงที่เด็กอาจจะได้รับยาเกินขนาดได้จากความเข้าใจผิดที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ ยาน้ำแก้ปวด ลดไข้ พาราเซตามอลมีจำหน่ายหลายความแรง สังเกตจากฉลากซึ่งจะแสดงความเข้มข้นจากน้อยไปมาก ดังนี้ 120 มก./5 มล., 160 มก./5 มล. และ 250 มก./5 มล. (5 มล. = 1 ช้อนชา) ซึ่งแต่ละความแรงมีขนาดรับประทานที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเด็ก ดังนั้น ผู้ปกครองควรอ่านฉลากและเอกสารกำกับยาอย่างละเอียดก่อนใช้ยา เพื่อให้ได้รับขนาดยาที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของเด็ก และป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับยาเกินขนาด
หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการแพร่ระบาดของโรคที่ทำให้เกิดไข้ได้หลายโรค อาทิ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และโควิด – 19 แต่ละโรคมีความรุนแรงที่แตกต่างกันและมีความซับซ้อนในการประเมินแยกโรคจากอาการที่แสดง ดังนั้น หากใช้ยาลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 5 วัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และหากมีอาการผิดปกติซึ่งอาจบ่งบอกถึงการแพ้ยา เช่น บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก ให้หยุดใช้ยาและรีบไปพบแพทย์ทันที
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย. ยังคงมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพของประชาชนและส่งเสริมให้ประชาชนใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ตามหลักการใช้ยา 5 ถูก ได้แก่ ถูกโรค ถูกคน ถูกขนาด ถูกเวลา ถูกวิธี กรณีที่พบผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าจะเป็นอันตราย สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ.1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
สธ. เฝ้าระวังต่อเนื่อง สุ่มเก็บตัวอย่างหอยเชลล์ พบยังปลอดภัย
ยืนยันไม่พบกัมมันตรังสีในอาหารทะเลนำเข้าจากญี่ปุ่น หลัง อย. ลุยตรวจสอบ ปลา ปลาหมึก หอย ปู สาหร่ายกว่า 90 ตัวอย่าง รมว.สาธารณสุขให้ อย. เฝ้าระวังและตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างเข้มงวด
จากกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดฟุกุชิมะของญี่ปุ่นมีการปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้าลงสู่ทะเล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 และปล่อยอีกครั้งในรอบที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566 ทำให้มีความกังวลว่า อาหารทะเลที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นอาจมีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีที่ปนมากับน้ำซึ่งปล่อยลงสู่ทะเลตามข่าวที่ได้มีการรายงานก่อนหน้านี้
ล่าสุด นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข มีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้าอาหารทะเลจากประเทศญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด โดยมีมาตรการในการเก็บตัวอย่างอาหารทะเลนำเข้าจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยง และกักสินค้าระหว่างตรวจวิเคราะห์ หากพบสารกัมมันตรังสีจะทำลายสินค้าและระงับการนำเข้าทันที
รมว.สาธารณสุข ระบุว่า อย. ได้เริ่มดำเนินการเก็บตัวอย่างอาหารทะเลนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน เก็บตัวอย่างไปแล้ว 90 ตัวอย่าง เช่น ปลา ปลาหมึก หอย ปูสาหร่าย เป็นต้น ส่งตรวจวิเคราะห์ปริมาณกัมมันตรังสี ซีเซียม-134 (Cs-134) และซีเซียม-137 (Cs137) ที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ล่าสุดได้รับผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างอาหารทะเล 80 ตัวอย่าง ยืนยันว่า ไม่พบสารกัมมันตรังสีทุกตัวอย่าง นอกจากนี้ ยังได้เก็บตัวอย่างหอยเชลล์ 15 ตัวอย่าง เป็นหอยเชลล์จากท้องตลาด 10 ตัวอย่าง จากห้างดองกิและร้าน Sen Sen Sushi ประเทศ ไทย 2 ตัวอย่าง และเป็นหอยเชลล์ที่สุ่มเก็บตัวอย่าง ณ ด่านอาหารและยา 5 ตัวอย่าง ไม่พบสารกัมมันตรังสีทุกตัวอย่าง เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้ อย. ยังดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยสุ่มเก็บตัวอย่างที่มีความเสี่ยงทุกการนำเข้าและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะดำเนินมาตรการอย่างจริงจังและเข้มข้นเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค และพร้อมที่จะให้ข้อมูลต่อสาธารณชน โดยสามารถติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดผ่านทางเว็บไซต์ อย. https://www.fda.moph.go.th/home ตลอด 24 ชั่วโมง -
อย. ตรวจพบเนื้อนมไม่รวมไขมัน ไม่เป็นไปตามที่มาตรฐานกำหนด ในผลิตภัณฑ์เอนฟาโกร เอพลัส มายด์โปร ดีเอชเอ พลัส เอ็มเอฟจีเอ็ม โปร 4 วิท ทู-เอฟแอล เครื่องหมายการค้า ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที วันผลิต 05/04/2022 ควรบริโภคก่อน 05/10/2023
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์นมของสถานที่จำหน่ายในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบนมเข้าข่ายเป็นอาหารปลอม โดยฉลากระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ “ผลิตภัณฑ์เอนฟาโกร เอพลัส มายด์โปร ดีเอชเอ พลัส เอ็มเอฟจีเอ็ม โปร 4 วิท ทู-เอฟแอล เครื่องหมายการค้า ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที เลขสารบบอาหาร 20-1-03444-5-0019 วันผลิต 05 04 2022 ควรบริโภคก่อน 05 10 2023 ผู้ผลิต บริษัท มี้ด จอห์นสัน นิวทริชั่น (ประเทศไทย) จำกัด” ผลการตรวจวิเคราะห์พบเนื้อนมไม่รวมไขมันร้อยละ 25.44 ของน้ำหนัก และไขมันร้อยละ 12.30 ของน้ำหนัก (มาตรฐานกำหนดมีเนื้อนมทั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของน้ำหนัก สำหรับผลิตภัณฑ์ของนมชนิดแห้ง) ซึ่งไม่เข้ามาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 352) พ.ศ. 2556 เรื่อง ผลิตภัณฑ์ของนม จัดเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายอาหารปลอมตามมาตรา 27 (5) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ อย. อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. สร้างความมั่นใจ ไม่มีสารพิษปลอมปนในยาน้ำสำหรับเด็กจำหน่ายในไทย
กรณีข่าวพบมีการปลอมปนสารพิษไดเอทิลีนไกลคอล และเอทิลีนไกลคอล ในยาน้ำสำหรับเด็กในประเทศอินโดนีเซีย เป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิตจำนวนมาก โดยพบปริมาณการปลอมปนสารพิษสูงถึง 99% อย. ยืนยันไม่พบปัญหาการปลอมปนสารพิษดังกล่าวในผลิตภัณฑ์ยาที่ผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏในข่าวพบมีการปลอมปนสารพิษไดเอทิลีนไกลคอลและเอทิลีนไกลคอลในยาน้ำสำหรับเด็กในประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ.2565 เป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิตจำนวนมาก โดยพบปริมาณการปลอมปนสารพิษสูงถึง 99% พบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเป็นการจงใจปลอมปนสารพิษดังกล่าวในสารโพรไพลีนไกลคอลที่ใช้ในการผลิตยาน้ำให้แก่ผู้ผลิตยาในประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย
สำหรับในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เร่งตรวจสอบยืนยันไม่พบปัญหาการปลอมปนสารพิษดังกล่าวในผลิตภัณฑ์ยาที่ผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ และไม่พบผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยบริษัท Afi Farma ซึ่งเป็นผู้ผลิตในประเทศอินโดนีเซียที่ปรากฏในข่าวว่าพบการปลอมปนสารพิษสูงถึง 99% นอกจากนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมา อย. ได้เก็บตัวอย่างตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยาน้ำสำหรับเด็กที่มีการนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย โดยผลการตรวจวิเคราะห์ไม่พบมีการปลอมปนไดเอทิลีนไกลคอล และเอทิลีนไกลคอล มาใช้ทดแทนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาแต่อย่างใด และเพื่อเป็นการเฝ้าระวังและสร้างความมั่นใจในการบริโภคยาที่มีการจำหน่ายในประเทศ อย. จะดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ยาน้ำสำหรับเด็กอย่างต่อเนื่อง โดยกำกับดูแลให้ผู้ผลิตยาต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตและกระจายยา (GMDP) อย่างเข้มงวด รวมถึงการตรวจประเมินสถานที่นำเข้ายาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการกระจายยา (GDP) และระบบการตรวจสอบเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันการปลอมปนสารที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
-
อย. เตือน ประชาชนอย่าใช้ชุดตรวจที่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพแล้ว
อย. เตือน ขอผู้บริโภคตรวจสอบวันหมดอายุของชุดตรวจโควิด-19 บนฉลากก่อนใช้ หากพบว่าหมดอายุหรือเสื่อมสภาพแล้ว อย่าใช้ เพื่อป้องกันการเกิดผลตรวจปลอมหรือผลคลาดเคลื่อน
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (US FDA) ได้ขยายวันหมดอายุของชุดตรวจโควิด-19 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก US FDA โดยระยะเวลาที่ขยายออกไปขึ้นอยู่กับรุ่นการผลิต (Lot number) ของชุดตรวจที่ระบุไว้บนกล่อง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจสร้างความสับสนให้กับประชาชน โดยเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ รวมถึงชุดตรวจ ATK ที่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของแต่ละประเทศ จะกำหนดให้ผู้ผลิตแสดงวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคนำผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพหรือไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานไปใช้ การขยายวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตต้องยื่นข้อมูลการศึกษาความคงตัว (Stability test) เพื่อใช้กำหนดอายุการใช้งานหรือวันหมดอายุ (Shelf-life หรือ Expired date) ที่ต้องการขยายจากเดิมนั้นก่อนที่จะมีการให้คำแนะนำในการขยายวันหมดอายุ
สำหรับชุดตรวจที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยที่ผู้ผลิตมีข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติมว่า สามารถเก็บรักษาได้ยาวนานขึ้น ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะต้องดำเนินการยื่นคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงต่อ อย. เพื่อพิจารณาข้อมูลว่ามีความสอดคล้องกับวันหมดอายุที่จะขยายเพิ่มหรือไม่ หากข้อมูลสอดคล้อง อย. จะอนุมัติให้ปรับข้อมูลวันหมดอายุที่แสดงบนฉลากเพื่อให้ผู้บริโภคได้ศึกษาพิจารณาอย่างชัดเจน โดยประชาชนห้ามใช้วิจารณญาณส่วนตัวในการพิจารณาอายุการใช้งาน ซึ่งเสี่ยงต่อการนำชุดตรวจที่เสื่อมสภาพไปใช้
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า การใช้งานชุดตรวจทางการแพทย์ต่าง ๆ ควรได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการเลือกใช้และการแปลผล เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม รวมทั้งลดโอกาสคลาดเคลื่อนในการแปลผลการทดสอบอีกด้วย -
อย. จัดอบรมสร้างความเข้มแข็งกำกับดูแล เครื่องมือแพทย์ให้ราชอาณาจักรภูฏาน
อย. ไทย และราชอาณาจักภูฏาน (Bhutan Food and Drug Authority) ร่วมพัฒนางานด้านสาธารณสุข โดย อย. ได้จัดอบรมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ซึ่งมีคณะผู้แทนและเจ้าหน้าที่จาก Bhutan Food and Drug Authority เข้าร่วมอบรม เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาการกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ของราชอาณาจักภูฏานต่อไป
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้แลกเปลี่ยนแนวทางการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการพัฒนาการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ โดยใช้นโยบาย BETTER (BCG Model, E-services, Technology for life, Team Thailand, Empowerment, Rapid response) และ 5S (Speed, Safety, Satisfaction, Supporter, Sustainability) เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เพิ่มการเข้าถึงผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ สนับสนุนผู้ประกอบการ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้รับบริการ ผ่านการนำเทคโนโลยีมาใช้ และสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ โดยได้สนับสนุนความร่วมมือระหว่าง อย. และ Bhutan Food and Drug Authority ในการจัดอบรมหลักสูตร Medical Device Regulation ให้กับเจ้าหน้าที่จาก Bhutan Food and Drug Authority ซึ่งเป็นการอบรมเกี่ยวกับการกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทย ทั้งการกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ก่อนออกสู่ตลาด รวมถึงการติดตามความปลอดภัยหลังออกสู่ตลาด ทั้งนี้ ราชอาณาจักรภูฏานอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ ดังนั้น การอบรมหลักสูตรดังกล่าวจึงเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ เพื่อนำไปใช้ในพัฒนางานสำหรับการกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์ของราชอาณาจักรภูฏานต่อไป -
อย.ตรวจพบผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพร หัวปลีผสมขิง และใบเตย ชนิดผง (ตราไออุ่น) ถูกยกเลิกเลขอนุญาตแล้ว แต่ยังพบโฆษณาโอ้อวดเกินจริง
พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพร หัวปลีผสมขิง และใบเตย ชนิดผง (ตราไออุ่น) เลข อย. 50-2-02147-2-0010 ขายทางออนไลน์ ระบุสรรพคุณ “...ไออุ่น น้ำหัวปลี...กระตุ้นน้ำนม เพิ่มน้ำนม...บำรุงเลือดลดการอักเสบในร่างกาย...มีสารต้านอนุมูลอิสระ...บรรเทาอาการท้องอืด และเวียนศีรษะ...แก้อาการอ่อนเพลีย ทำให้รู้สึกสดชื่น...ลดฮอร์โมนความเครียด...”
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของผลิตภัณฑ์อาหารอันเป็นเท็จหรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร และไม่ได้รับอนุญาต จึงได้สั่งระงับโฆษณาและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องแล้ว และเมื่อตรวจสอบเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว พบสถานะผลิตภัณฑ์ยกเลิกโดยผู้ประกอบการ ตั้งแต่ 29/5/2566 ทั้งนี้ อย. จะเฝ้าระวังการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดต่อไป หากพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ฉลากระบุวันผลิตหลังการยกเลิกเลข อย. จะเข้าข่ายการผลิตและจำหน่ายอาหารปลอม ซึ่งผู้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายจะได้รับโทษจำคุกหรือปรับ และขอเตือนผู้บริโภคระมัดระวังการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาบริโภค
ข้อแนะนำ
ขอแนะผู้บริโภคว่า ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลการอนุญาตผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ที่www.fda.moph.go.th หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai และควรพิจารณาเนื้อหาการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย. ไม่อนุญาตให้โฆษณาในทำนองที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบการได้รับอนุญาตโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร ยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ อย. หมวดบริการประชาชน หัวข้อสืบค้นใบอนุญาตโฆษณา กรณีมีปัญหาสุขภาพควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธี ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถาม หรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. เตือน อย่าซื้อยาโอเซลทามิเวียร์ปลอม
เตือนอย่าหลงเชื่อซื้อยาโอเซลทามิเวียร์ ที่มีการจำหน่ายในราคาแพง อย. เร่งปราบปรามดำเนินคดีเชื่อเป็น “ยาปลอม” ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่ รมว.สาธารณสุข ยืนยันยาไม่ขาดแคลน สั่งองค์การเภสัชกรรมเร่งผลิตและกระจายไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้ว
ภายหลังจากที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ได้ออกมาเตือนประชาชนถึงการระบาดหนักของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1, H3N2 และสายพันธุ์ B ที่ระบาดรุนแรงในหลายจังหวัด โดยได้เร่งให้มีการฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงและเตรียมขยายอายุการได้รับสิทธิฉีดวัคซีนในเด็กจากอายุ 6 เดือน – 2 ปี เป็น 5 ปีนั้น ล่าสุดได้มีประชาชนร้องเรียนมายังกระทรวงสาธารณสุข ถึงประเด็นยาปลอมระบาดหนักในภาคเหนือ โดยเฉพาะยาโอเซลทามิเวียร์ ที่ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ โดยมีกระแสข่าวว่าขาดแคลนยาดังกล่าวอย่างหนัก ล่าสุด รมว.สาธารณสุขได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข่าวดังกล่าว ทั้งสถานการณ์การขาดแคลนยาโอเซลทามิเวียร์และปัญหายาปลอมระบาด ยืนยันว่า ไม่ได้มีการขาดแคลนยา โดยขณะนี้ องค์การเภสัชกรรมได้เร่งการผลิตยาโอเซลทามิเวียร์ขนาด 30 และ 45 มิลลิกรัม ได้อย่างเพียงพอ และ กระจายไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้ว ส่วนยาโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มิลลิกรัม คาดว่าจะสามารถผลิตได้อย่างเพียงพอภายในเดือนตุลาคมนี้ นอกจากนี้ แพทย์ยังสามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์เป็นทางเลือกในการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
ส่วนประเด็นยาปลอมที่มีการร้องเรียนว่าระบาดหนักในภาคเหนือมีการขายในราคาแพงนั้น นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า จากการตรวจสอบ พบว่าเป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย แต่มีการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่ง อย. ได้สืบหาข้อมูลและเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการปราบปรามรวมถึงดำเนินคดีตามกฎหมายโดยยาโอเซลทามิเวียร์ที่ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ขณะนี้มียี่ห้อทามิฟลู (TAMIFLU) ขนาด 75 มิลลิกรัม ของบริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด และยาจีพีโอ-เอ-ฟลู (GPO A-FLU) ขนาด 30 45 และ 75 มิลลิกรัมขององค์การเภสัชกรรม
สำหรับยาโอเซลทามิเวียร์จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ สามารถใช้เฉพาะสถานพยาบาลเท่านั้น ผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยและตรวจรักษาจากแพทย์เพื่อรับยาโอเซลทามิเวียร์ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ไม่ควรซื้อยาด้วยตนเองตามร้านขายยาหรือช่องทางอื่น ๆ เพราะอาจได้รับยาที่ไม่ปลอดภัย และยังมีราคาแพงมากอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถสังเกตยาปลอม โดยให้สังเกตเลขทะเบียนยาบนฉลากยา และตรวจสอบข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่ www.fda.moph.go.th หรือสายด่วน อย. 1556 ตลอด 24 ชั่วโมง
-
อย.ร่วมตำรวจสอบสวนกลาง และ สบส. บุกค้นคลินิกเสริมความงาม ใช้เครื่องสำอางฉีดแทนยา
วันที่ 22 กันยายน 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., ว่าที่ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4
บก.ปคบ., กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดย นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา, ภก. วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงผลการตรวจค้น 4 คลินิกเสริมความงามที่ใช้เครื่องสำอางฉีดแทนยา, ยาไม่มีทะเบียน และเครื่องสำอางแสดงฉลากไม่ถูกต้อง รวมกว่า 943 ชิ้น
ด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตรวจพบการโฆษณาเครื่องสำอางที่บรรจุในภาชนะบรรจุรูปแบบแอมพูล/ไวแอล มีการนำไปใช้ผิดวิธี/ผิดวัตถุประสงค์ในคลินิกเสริมความงาม โดยอวดอ้างสรรพคุณ
ในการบำรุงรักษา, ฟื้นฟูสภาพผิว, ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอย, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ฯลฯ อันมีลักษณะการใช้เช่นเดียวกับยารักษาโรค ซึ่งหากฉีดเข้าสู่ร่างกายและเข้าสู่กระแสเลือด อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ด้วยเครื่องสำอางดังกล่าวไม่ได้ผ่านการรับรองการฆ่าเชื้อ และผลิตในเชิงการแพทย์ อีกทั้ง ไม่พบว่าเป็นเครื่องสำอางที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานแพทย์ของรัฐ จึงประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ สบส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. เข้าร่วมตรวจสอบคลินิกเสริมความงามที่เข้าข่ายกระทำความผิด
ต่อมาวันที่ 13 กันยายน 2566 เจ้าหน้าที่ อย., เจ้าหน้าที่ สบส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. เข้าร่วมตรวจสอบสถานพยาบาลคลินิกเสริมความงาม 4 แห่ง ในพื้นที่เขตสวนหลวง, เขตบึงกุ่ม, เขตดุสิต และเขตวังทองหลาง จากการสอบสวนปากคำแพทย์และผู้ช่วยพยาบาล ทั้ง 4 คลินิกให้การว่า เครื่องสำอางของกลางที่ตรวจยึด เป็นเครื่องสำอางที่ได้จดแจ้งเลข อย. ประเภทเครื่องสำอางสำหรับทาผิว/ผิวหน้า โดยไม่ต้องล้างออก แต่ลักษณะขวดผลิตภัณฑ์บรรจุในภาชนะบรรจุรูปแบบไวแอล มีลักษณะขวดแก้วใส มีฝาจุกยาง ปิดฝาขวดด้วยอลูมิเนียม คล้ายขวดยาสำหรับฉีด โดยอ้างว่ามีคุณสมบัติในการบำรุงรักษา, ฟื้นฟูสภาพผิว, ลดฝ้า กระ จุดด้างดำ และริ้วรอย, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ฯลฯ อันมีลักษณะผิดวัตถุประสงค์ของเครื่องสำอางที่จดแจ้งไว้ และพบว่ามียาที่ไม่มีทะเบียน เครื่องสำอางที่มีฉลากไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันตรวจสอบใบประวัติการรักษาของผู้เข้ารับบริการพบว่า มีการตรวจรับรักษาด้วยการฉีดเครื่องสำอางที่ตรวจยึดจริง โดยของกลางที่ตรวจยึดได้ทั้งหมด 943 ชิ้น เป็นเครื่องสำอางที่นำมาฉีดกว่า 779 ชิ้น, ยาไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยากว่า 109 ชิ้น และเครื่องสำอางที่มีฉลากไม่ถูกต้อง 55 ชิ้น ของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
หากพบว่ามีคลินิกเสริมความงามทั้ง 4 แห่งกระทำความผิดจริง ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องจะมีความผิด
พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
1. ขายยาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ฝ่าฝืนมาตรา 72 (4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558
1. ขายเครื่องสำอางที่ฉลากแสดงข้อความสื่อถึงการนำไปฉีดเข้าสู่ผิวหนัง เข้าข่ายเครื่องสำอางที่ห้ามผลิตนำเข้าหรือขาย ฝ่าฝืน ม.6(1) ประกอบ ม.27(4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน
ห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ขายเครื่องสำอางที่ฉลากแสดงข้อความที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง (solution for injection) ฝ่าฝืน ม.32 (3) ประกอบ ม.22 วรรคสอง (1) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ขายเครื่องสำอางที่ฉลากแสดงข้อความอันเป็นสาระสำคัญไม่ครบถ้วน ฝ่าฝืน ม.32 (4) ประกอบ ม.22 วรรคสอง (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. กล่าวฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่า ควรศึกษาและซักถามคลินิกที่เข้ารับบริการว่า ยาและเครื่องสำอางที่ทางคลินิกใช้รักษา มีการขึ้นทะเบียนตำรับยา และเครื่องสำอางได้จดแจ้งกับทาง อย. ถูกต้องหรือไม่ ในส่วนของคลินิกเสริมความงามและแพทย์ที่นำเครื่องสำอางมาใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้รับบริการ อาจเสี่ยงทำให้ชีวิตร่างกายของผู้รับบริการเสียชีวิต หรือเกิดอาการเจ็บป่วย อันมีความผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา จึงขอเตือนว่าไม่ควรนำเครื่องสำอางมาฉีดรักษาให้บริการโดยเด็ดขาด พี่น้องประชาชนที่พบเห็นการโฆษณาใช้เครื่องสำอางมาฉีดรักษา หรือการโฆษณาเกินจริง สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ สายด่วน บก.ปคบ.1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค
ภก.วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวน ขยายผลร่วมตรวจสอบคลินิกที่โฆษณาและรีวิวในเว็บไซต์มีการนำเครื่องสำอางในขวดรูปแบบยาฉีด (แอมพูล/ไวแอล) ฉีดเข้าร่างกายหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์อื่น ๆ ในการผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนังเพื่อความสวยงาม โดยอ้างว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่าน อย. แล้ว
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่จดแจ้งเป็นเครื่องสำอางจะไม่มีการประเมินความปลอดภัยจากการใช้กรณีนำไปฉีดหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากเครื่องสำอางจะใช้ทาภายนอก ดังนั้น หากนำเครื่องสำอางไปใช้ผิดวิธีหรือผิดวัตถุประสงค์อาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ทั้งนี้ อย. ได้มีการเพิกถอนใบรับจดแจ้งเครื่องสำอางที่พบว่ามีการนำไปใช้ฉีดแล้ว จำนวน 3 ฉบับ และมีการดำเนินคดีผู้โฆษณาจำนวน 12 ราย
จึงขอเตือนทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการในคลินิกเสริมความงาม โรงพยาบาล ให้ตรวจสอบฉลากและพิจารณาการใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบแอมพูล/ไวแอลอย่างละเอียด โดยเฉพาะที่มีการกล่าวอ้างว่า “ผ่าน อย. แล้ว” เพราะผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน อย. มีหลายประเภทตามระดับความเสี่ยง กรณีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกาย จัดว่ามีความเสี่ยงสูง ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนเป็นยา หรือเครื่องมือแพทย์เท่านั้น โดย อย.ได้จัดทำข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการจดแจ้งเป็นเครื่องสำอางที่บรรจุอยู่ในแอมพูล/ไวแอล เผยแพร่ให้ประชาชนเข้าตรวจสอบได้ในเว็บไซต์ อย. หากพบว่าผลิตภัณฑ์จดแจ้งเป็นเครื่องสำอาง ห้ามนำมาใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์อื่น ๆ เพื่อผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนังโดยเด็ดขาด และการใช้ยาในคลินิกเสริมความงาม โรงพยาบาล จะต้องเป็นยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับยากับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วเท่านั้น หากผู้บริโภคพบคลินิกที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th, Line: @FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
การต่ออายุ ใบอนุญาตผลิตอาหาร (อ.2) และใบอนุญาตนำหรือสั่งอาหารเข้ามาในราชอาณาจักร (อ.7) ประจำปี 2566
การต่ออายุ ใบอนุญาตผลิตอาหาร (อ.2) และใบอนุญาตนำหรือสั่งอาหารเข้ามาในราชอาณาจักร (อ.7) ประจำปี 2566
ประชาสัมพันธ์
ใบอนุญาติผลิตอาหาร (อ.2) และ ใบอนุญาตินำหรือสั่งอาหารเข้ามาในราชอาณาจักร (อ.7) ที่มีกำหนดต่ออายุในปี 2566 โปรรับทราบการต่ออายุก่อนวันที่ 31 ธันวาคม 2566
หรือติดต่อรับบริการของเราก่อนล่วงหน้า 1 เดือน
อนึ่ง หากพ้นกาหนดเวลาการต่ออายุใบอนุญาตในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 แล้ว ใบสาคัญการขึ้นทะเบียนตารับอาหาร หรือใบสาคัญอนุญาตใช้ฉลากอาหาร หรือใบจดทะเบียนอาหาร/แจ้งรายละเอียดอาหาร แล้วแต่กรณี ที่ได้รับเลขสารบบอาหารไว้นั้น ย่อมสิ้นสภาพตามใบอนุญาตด้วยทุกรายการ
สนใจทัก Line Official >>> https://line.me/R/ti/p/@828wsyhl?from=page
หรือโทร ติดต่อ 0970094800 (คุณอาร์ม) -
อย. เตือน อย่าหลงเชื่อ นม และอาหารเสริม เพิ่มความสูง อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
อย. เตือนอย่าหลงเชื่อโฆษณาเวอร์! ที่นมหรืออาหารเสริมจะช่วยเพิ่มความสูงได้ อย. ไม่เคยอนุญาตให้โฆษณาในลักษณะนี้จากที่มีการเผยแพร่โฆษณา นมเพิ่มความสูง ชื่อ “Hi UP” พบโฆษณาทางเฟซบุ๊กชื่อ “Hiup - ส่วนสูงสำหรับเด็กทารก” และ “HIUP – นมน้ำเหลืองสำหรับเด็กแคระแกรน” เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ
รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เผยว่าจากการตรวจสอบไม่พบข้อมูลการอนุญาตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวซึ่ง อย.ได้รายงานเนื้อหาผิดกฎหมายเพื่อปิดกั้นการเข้าถึงเฟซบุ๊ก และประสานตำรวจกองบังคับการปรามปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงแล้ว
รองเลขาฯ อย.กล่าวเพิ่มเติมว่า อย.ไม่เคยอนุญาตให้ผลิตภัณฑ์อาหารใด ๆ โฆษณาว่าสามารถทำให้โครงสร้างร่างกายมนุษย์เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มความสูงได้ จึงขอเตือนให้ผู้บริโภคระมัดระวังอย่าหลงเชื่อโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณหรือคุณประโยชน์ที่เกินความจริงลักษณะนี้ สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานสูงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ การโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงทางสื่อต่าง ๆ ถือเป็นความผิด โดยการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือถ้าเป็นการโฆษณาสรรพคุณโอ้อวดเกินจริง หรือหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยสามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 -
อย. เผย เส้นก๋วยเตี๋ยว หากใช้ชนิดวัตถุกันเสียตรงตามที่อนุญาต และไม่เกินปริมาณที่กำหนด ยังคงมีความปลอดภัย
อย. กำกับดูแลการใช้วัตถุกันเสียในอาหารให้เป็นไปตามกฎหมาย หากพบใส่วัตถุกันเสียไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือเกินปริมาณที่อนุญาต เกิดอันตราย มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
กรณีที่มีการโพสต์ 3 เส้นก๋วยเตี๋ยวเสี่ยงอันตราย ไม่ควรทานบ่อย โดยผลสำรวจของสถาบันอาหารพบว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวที่พบสารกันบูดมากที่สุดได้แก่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ และเส้นใหญ่ นั้น เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า วัตถุกันเสียที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารประเภทเส้น ได้แก่ กรดเบนโซอิก หรือ กรดซอร์บิก โดยกรดเบนโซอิกให้ใช้ได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในอาหารประเภทเส้นที่มีการให้ความร้อนในกระบวนการผลิต เช่น การนึ่ง ทั้งที่ผ่านและไม่ผ่านการทำแห้ง รวมถึงเส้นแบบกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งจะต้องผ่านวิธีการปรุงก่อนรับประทานอย่างง่าย ๆ และใช้เวลาสั้น เช่น การเติมน้ำร้อน สำหรับกรดซอร์บิกให้ใช้ได้ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยอนุญาตเฉพาะอาหารประเภทเส้นแบบกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งการใช้วัตถุกันเสียเป็นไปตามเงื่อนไขและไม่เกินปริมาณที่อนุญาต ยังคงมีความปลอดภัย ทั้งนี้ อย. มีการเฝ้าระวังเส้นก๋วยเตี๋ยว และอาหารประเภทเส้น เช่น ขนมจีน บะหมี่ เกี๊ยว สปาเก็ตตี้ ที่จำหน่ายในท้องตลาดมาตลอด โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2566 ผลปรากฏว่าไม่ผ่านมาตรฐาน เพียง 9 ตัวอย่าง ซึ่งผู้ผลิต และผู้จำหน่าย ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว โดยผู้ผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายอาหารประเภทเส้น ใช้วัตถุเจือปนอาหาร (วัตถุกันเสีย) ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และหากพบปริมาณเกินจนอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จะเข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือโทษทั้งจำทั้งปรับ
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทเส้นแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่มีการแสดงฉลาก และมีเครื่องหมาย อย. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า น้ำหนักสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต และ ควรบริโภคก่อน หรือหมดอายุ และระบุข้อมูลวัตถุกันเสีย สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทเส้นสด ปกติจะเก็บได้ไม่นาน เมื่อซื้อมาแล้วควรเก็บไว้ในตู้เย็น และหากมีกลิ่นเหม็นหืน เหม็นเปรี้ยว มีจุดสี ไม่ควรรับประทาน หากสงสัยว่ามีการกระทำฝ่าฝืน หรือมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
อย. เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทยกับนานาชาติ
อย. เร่งขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อผู้บริโภคได้รับความปลอดภัย และมุ่งสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้ด้วยความสะดวก รวดเร็ว พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นระบบการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพไทยกับนานาชาติ
เมื่อวันที่ (19 กันยายน 2566) ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน Change for the BETTER โดยเปิดเผยว่า งานดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการเปิดมิติใหม่ของการบูรณาการปฏิบัติงาน อย. ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล และมุ่งหวังสื่อสารให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศได้ทราบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่เปลี่ยนแปลงใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์ CHANGE FOR THE BETTER ที่มุ่งเน้นพัฒนาการจัดการและการบริหารด้วยดิจิทัลและนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่าในเรื่อง การบริการที่ดีกว่า การคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีขึ้น การทำงานมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และภาพลักษณ์องค์กรที่ดีขึ้น และยังมีการปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนการให้บริการ โดยยึด 3 หลักการ คือ 1. Data Linkage การเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างรัฐต่อรัฐไว้ล่วงหน้าก่อนการนำเข้า เพื่อลดขั้นตอนการตรวจรับรองเอกสาร 2. Trade Facilitation การลดเอกสารที่ใช้ยื่นเพื่อขอผ่อนผันนำเข้า เน้นการตรวจติดตามหลังผ่อนผัน เช่น ออกของด้วยบัตรประชาชนใบเดียว GIP plus 3. Big data การวิเคราะห์ เชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะประวัติการอนุญาต การตรวจปล่อย เพื่อนำมาจัดการความเสี่ยง จัดระบบ GIP lane, Green line โดยภายในงานมีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานสถานทูตกว่า 50 ประเทศ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งผู้ประกอบการ จำนวนกว่า 300 คน เข้าร่วมรับฟังปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Thai FDA: look forward to the BETTER” โดย เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า การดำเนินงานของ อย. ยึดหลักตามมาตรฐานสากลที่นานาประเทศให้การยอมรับ ซึ่งแนวทางการดำเนินงานที่นำ อย. สู่องค์กรดิจิทัล เป็นการสร้างความเชื่อมั่น ความเข้าใจ เน้นความโปร่งใส และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็ง ในการดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อผู้บริโภคปลอดภัย ผู้ประกอบการก้าวไกล ระบบคุ้มครองสุขภาพไทยยั่งยืน -
อย. เตือน อย่าซื้อนมแม่ที่โพสต์ขายให้ลูกกิน เสี่ยงอันตราย
อย. เตือน ไม่ควรให้ลูกดื่มนมแม่ที่ซื้อมา เสี่ยงอันตรายที่คาดไม่ถึง หากไม่สามารถให้นมลูกเองได้จำเป็นต้องได้รับการบริจาคนมแม่ จะต้องได้รับผ่านธนาคารนมแม่ที่มีกระบวนการคัดกรองโรคและฆ่าเชื้อนมที่มีมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย
จากกรณีกระแสการโพสต์ขายนมแม่ อาจเสี่ยงติดเชื้อโรค เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า การส่งเสริมให้ดื่มนมแม่นั้นเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่มีประโยชน์สูง สำหรับเด็กปกติสนับสนุนให้เด็กดื่มนมแม่ตนเอง หากจำเป็นต้องได้รับการบริจาคนมแม่จะต้องได้รับผ่านธนาคารนมแม่ ซึ่งผู้ที่นำนมแม่มาบริจาค จะมีขั้นตอนการคัดกรองที่มีคุณภาพมาตรฐาน เนื่องจากในนมแม่อาจพบเชื้อก่อโรค หรือสารอันตรายต่าง ๆ จากผู้เป็นแม่ได้ ตัวอย่างเช่น เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ สารเสพติด หรือยาบางชนิด โดยธนาคารนมแม่จะมีการคัดกรองเชื้อโรค และสารอันตรายต่าง ๆ มีการควบคุมคุณภาพของน้ำนมที่ได้มาตรฐานเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียที่ส่งผลต่อสุขภาพของทารก ทั้งนี้ อย. ไม่เคยมีการอนุญาตผลิตหรือนำเข้านมแม่เพื่อขายในลักษณะแบบนี้ จึงขอเตือนว่าไม่ควรซื้อขายนมแม่ไม่ว่าโดยวิธีการใด และไม่ควรให้ลูกดื่มนมแม่ที่ซื้อมา เสี่ยงอันตราย ทำให้ลูกเจ็บป่วย และหากพบมีการจำหน่ายลักษณะแบบนี้ ผู้ผลิต หรือผู้ขายจะมีความผิดฐานผลิตหรือขายอาหารไม่บริสุทธิ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องน้ำนมน้อยหรือมีปัญหาเรื่องการให้นมแม่ สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่ คลินิกนมแม่ ที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน
หากผู้บริโภคสงสัยว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย หรือมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข -
อย. เผย ผลตรวจวิเคราะห์อาหารทะเลจากญี่ปุ่น ปลอดสารกัมมันตรังสี
อย. เผยผลตรวจวิเคราะห์อาหารทะเลจากประเทศญี่ปุ่น ไม่พบปริมาณกัมมันตรังสีเกินเกณฑ์มาตรฐาน และเฝ้าระวังติดตามข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างเข้มงวด ไม่ให้อาหารทะเลปนเปื้อนกัมมันตรังสีเล็ดลอดเข้ามาในประเทศ ขอให้ผู้บริโภควางใจ
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้าอาหารทะเลจากประเทศญี่ปุ่นอย่างเข้มงวด ตั้งแต่ได้รับข้อมูลการปล่อยน้ำปนเปื้อนจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดฟุกุชิมะลงสู่ทะเล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 โดยดำเนินการเก็บตัวอย่างอาหารทะเลนำเข้าจากพื้นที่ที่มีความเสี่ยงไปแล้ว 75 ตัวอย่าง เช่น ปลาหมึก หอย ปู เป็นต้น ส่งตรวจวิเคราะห์ปริมาณกัมมันตรังสี ซีเซียม-134 (Cs-134) และซีเซียม-137 (Cs-137) ที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เนื่องจากซีเซียมเป็นสารกัมมันตรังสีหลักที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์สู่สิ่งแวดล้อม ผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างอาหารทั้งหมด 42 ตัวอย่าง ไม่พบปริมาณกัมมันตรังสีเกินเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และอีก 33 ตัวอย่าง ยังอยู่ระหว่างการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ โดย อย. ได้กักสินค้าระหว่างตรวจวิเคราะห์ หากไม่พบสารกัมมันตรังสี จะสามารถนำสินค้าไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ แต่หากตรวจพบสารกัมมันตรังสีจะทำลายสินค้าและระงับการนำเข้าทันที
ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นและวางใจในการดำเนินงานของ อย. ซึ่งมีการเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลทั้งจากในและต่างประเทศอย่างเข้มงวดเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัย อนึ่ง หาก อย. พบผลิตภัณฑ์อาหารใดที่เป็นอันตราย จะประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบทันที และหากผู้บริโภคพบผลิตภัณฑ์อาหารใดสงสัยว่าจะเป็นอันตราย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. เตือน อย่าซื้อขนมรูปแบบโรลออน ลักลอบนำเข้า เสี่ยงอันตราย
พบขนมรูปแบบโรลออน ที่ไม่ได้รับอนุญาต วางขายทั่วไปโดยเฉพาะตามหน้าโรงเรียน เตือนว่าไม่ควรซื้อมารับประทาน เป็นของลักลอบนำเข้าเสี่ยงได้รับอันตราย ทั้งผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายมีความผิดตามกฎหมาย
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เผย ขนมเด็กที่มีลักษณะแปลกใหม่ เพื่อดึงดูดการขายในเด็กวัยเรียน มักจะมีสีสันสดใส กลิ่นรสแปลกใหม่ หรือบรรจุในภาชนะรูปแบบต่าง ๆ เพื่อดึงความสนใจเด็ก ๆ ล่าสุดพบขนมบรรจุในขวดมีหัวเป็นลูกกลิ้ง หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า โรลออน พบวางจำหน่ายใกล้โรงเรียน หรือจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้า ไม่ได้รับอนุญาต จุดสังเกตคือ ไม่มีฉลากภาษาไทยและ ไม่มีเลข อย. ไม่ทราบสูตรส่วนประกอบหรือส่วนผสม ไม่มีผู้นำเข้า จึงขอเตือนว่าไม่ควรซื้อมารับประทาน เสี่ยงได้รับสารที่อาจเป็นอันตราย หรือใช้วัตถุกันเสีย สี วัตถุแต่งกลิ่นที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด หรือ มีสารปนเปื้อนจากการผลิต และภาชนะบรรจุที่ไม่ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้ ขนมที่ได้รับอนุญาต ต้องมีฉลากภาษาไทย แสดงเลข อย. ส่วนประกอบหรือส่วนผสม ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า วันเดือนปีที่ผลิต และควรบริโภคก่อน หรือหมดอายุ น้ำหนักหรือปริมาตรสุทธิ และข้อมูลการแต่งกลิ่น และวัตถุเจือปนอาหาร เช่น สี วัตถุกันเสีย และสารให้ความหวานแทนน้ำตาล หากพบขนมรูปแบบโรลออน วางขายโดยไม่ขออนุญาตนำเข้า ทั้งผู้นำเข้า หรือผู้จำหน่ายจะมีโทษปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท และเมื่อตรวจวิเคราะห์แล้วพบใช้วัตถุเจือปนอาหารไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท และกรณีพบว่าภาชนะที่ใช้บรรจุอาหารไม่มีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากผู้บริโภคสงสัยว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย หรือมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004
-
ความรู้ อย. รู้จัก ไซยาไนด์ สารพิษอันตรายถึงชีวิต
ไซยาไนด์ (cyanide) เป็นสารที่นำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเหมืองทองคำ เหมืองเงิน และอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก การชุบโลหะด้วยไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น สามารถพบได้หลายรูปแบบ ได้แก่
1. เกลือของไซยาไนด์ ได้แก่ โซเดียมไซยาไนด์ (sodium cyanide) และโพแทสเชียมโชยาไนด์ (potassium cyanide) ซึ่งเป็นของเข็ง มีลักษณะเป็นผงสีขาว ละลายน้ำได้ดี มีกลิ่นคล้ายอัลมอนด์ (bitter almond-likeodor)
2. ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (hydrogen cyanide) มีลักษณะเป็นของเหลวใสหรือสีน้ำเงินจางๆ ที่อุณหภูมิห้อง
และที่อุณหภูมิสูงจะเป็นก๊าซไม่มีสี
ไซยาไนด์เป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง หากได้รับจะเริ่มมีอาการปวดศีรษะ ใจสั่น หน้าแดง หมดสติ ชัก และอาจจะเสียชีวิตภายในเวลา 10 นาที โดยยาต้านพิษไซยาไนด์ในประเทศไทยมี 2 รายการ ได้แก่ ยาฉีดโซเดียมไนไตรท์ (Sodium nitrite) และยาฉีดโซเดียมไทโอซัลเฟต (Sodium thiosulfate) เป็นยาในโครงการของยาต้านพิษของศูนย์พิษวิทยา ซึ่งมีเพียงพอที่ส่งให้กับโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ โดยการจะต้านพิษไซยาไนด์ได้ ต้องได้รับยาต้านพิษอย่างทันท่วงทีภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- หากไซยาไนด์สัมผัสกับผิวหรือเสื้อผ้า ให้ใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าออกเป็นชิ้น ๆ และนำออกจากลำตัว อย่าให้ถูกผิวส่วนอื่น โดยวิธีนี้จะช่วยให้เสื้อผ้าที่ปนเปื้อนไซยาไนด์ ไม่ไปสัมผัสกับผิวหนัง แล้วล้างทำความสะอาดผิวด้วยน้ำและสบู่ และรีบนำส่งโรงพยาบาล
- หากสัมผัสทางดวงตา ให้ใช้น้ำสะอาดล้างตาอย่างน้อย 10 นาที และรีบนำส่งโรงพยาบาล
- หากมีการสูดดมและรับประทาน ในกรณีที่ผู้ป่วยหยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ให้ทำ CPR เพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่ “ห้ามใช้วิธีเป่าปาก”เพื่อป้องกันผู้ช่วยเหลือได้รับพิษ
สารกลุ่มไซยาไนด์จัดเป็นวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยเกลือของไซยาไนด์ที่ละลายน้ำได้ (soluble cyanide salts) และไฮโดรเจนไซยาไนด์ (hydrogen cyanide) ห้ามนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข (จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ในการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง) -
อย. แจ้งเตือนความปลอดภัยการใช้เครื่องช่วยหายใจ Trilogy Evo, Trilogy Evo O2, Trilogy EV 300
อย. แจ้งเตือนความปลอดภัยให้ใช้ตัวกรองและตั้งค่าแจ้งเตือนของเครื่องช่วยหายใจ Trilogy Evo, Trilogy Evo O2, Trilogy EV 300 ผลิตโดย บริษัท Philips Respironics หลังพบฝุ่นและสิ่งสกปรกจากสิ่งแวดล้อมเข้าท่ออากาศ อันตรายอาจทำให้เกิดภาวะเลือดขาดออกซิเจน
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับรายงานแจ้งเตือนเรื่องความปลอดภัยในการใช้เครื่องช่วยหายใจ Trilogy Evo, Trilogy Evo O2, Trilogy EV 300 ผู้ผลิต บริษัท Philips Respironics โดยให้ใช้ตัวกรอง (particular filter หรือ air - inlet filter) รวมทั้งตั้งค่าแจ้งเตือน เนื่องจากตรวจพบฝุ่นและสิ่งสกปรกจากสิ่งแวดล้อมในเส้นทางลมของอุปกรณ์จากการสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลานาน เช่น ฝุ่นและสิ่งสกปรกนำไปสู่การสะสมที่อาจปิดกั้นช่องระบายอากาศ และทำให้อุปกรณ์หยุดส่งแรงดันลมในปริมาณที่เหมาะสมหรือการไหลของอากาศ หากเครื่องช่วยหายใจไม่สามารถช่วยหายใจได้ในระดับที่เหมาะสม ผู้ป่วยอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และอาจมีการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือแรงดันก๊าซอื่น ๆ ที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้ -
ความรู้ อย. รู้ก่อน..ฉีดฟิลเลอร์
ปัจจุบันถ้าพูดถึง ฟิลเลอร์ (Filler) คงไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะสาวๆ หลายคน ก็เคยผ่านการฉีดฟิลเลอร์มาแล้ว แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า ฟิลเลอร์คืออะไรกันแน่ และมีผลข้างเคียงยังไงบ้าง วันนี้เรามีคำตอบ ไปดูกันเลย
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพื่อเติมเต็มหรือลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้มร่องน้ำหมาก โหนกแก้ม หน้าผาก ใต้ตา จมูก คาง ริมฝีปาก ทำให้ร่องและริ้วรอยดูตื้นขึ้น ทำให้ผิวกลับมาเต่งตึง อวบอิ่ม แลดูอ่อนวัย
ผลข้างเคียงที่อาจพบจากการฉีดฟิลเลอร์ คือ
1. มีอาการคัน ปวด บวม ตึง แดงร้อนบริเวณที่ฉีด
2. ผิวหนังฟกช้ำ ห้อเลือด
3. ผิวหนังติดเชื้อ
4. พบก้อนบริเวณที่ฉีด
5. ผิวหนังบริเวณที่ฉีดดูขาวขึ้น หรือคล้ำลง
6. แพ้ยาชาที่เป็นส่วนผสมของฟิลเลอร์
7. เส้นเลือดอุดตัน และอาจทำให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อตาย หรือตาบอด
การฉีดฟิลเลอร์ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดังนั้น หากต้องการฉีดฟิลเลอร์ แนะนำให้เลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังประจำอยู่ และฟิลเลอร์ที่ใช้จะต้องเป็นฟิลเลอร์ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับ อย. เท่านั้นโดยสามารถตรวจสอบรายชื่อฟิลเลอร์ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบผลิตภัณฑ์”หรือตรวจสอบได้ที่ Line: @FDATHAI -
ความรู้ อย. กินเค็มมาก เสี่ยงไม่รู้ตัว
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ติดรสเค็มโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากพฤติกรรมชอบเติมเครื่องปรุงรสโดยเฉพาะ น้ำปลาเกลือ ซอสปรุงรส ผงชูรส อีกทั้งชอบรับประทานอาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป และขนมกรุบกรอบ ที่อาหารเหล่านี้มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
โซเดียม คือเกลือแร่ที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย จะทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของเกลือแร่ ช่วยกระจายตัวของน้ำในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควบคุมสมดุลของกรด-ด่าง ควบคุมการเต้นของหัวใจและชีพจร มีผลต่อความดันโลหิตและการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งโซเดียมเป็นเกลือแร่ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่เราจะได้รับโซเดียมจากอาหารที่กินเข้าไป ดังนั้น การกินอาหารที่มีรสเค็มมากเป็นประจำ อาจทำให้ได้รับโซเดียมในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่างตามมา เช่น
1. ความดันโลหิตสูง
2. โรคไตเรื้อรัง
3. โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
4. โรคหัวใจและหลอดเลือด
เราสามารถควบคุมปริมาณโซเดียมง่าย ๆ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ปรุงรสตามใจชอบ หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง/แช่อิ่ม อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง ขนมกรุบกรอบ และเบเกอรี หากจำเป็นต้องกิน ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้ง แล้วเลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยที่สุด หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice) เป็นทางเลือกที่จะช่วยลดและควบคุมปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารนั้น โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO กำหนดมาตรฐานว่า ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัมต่อวัน หากเกินกว่าปริมาณนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายและเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีห่างไกลโรคได้แล้ว
-
สุดปัง ! อย. คว้ารางวัลคุณภาพบริหารจัดการภาครัฐดีเด่น
อย. คว้ารางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2566 จาก ก.พ.ร. 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ระดับดีเด่น รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 (PMQA 4.0) ระดับก้าวหน้า (Advance) และรางวัลบริการภาครัฐ พัฒนาการบริการ ระดับดี สุดปลื้ม ได้รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐครบทุกหมวดแล้ว พร้อมขับเคลื่อนองค์กรต่อไปด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อผู้บริโภคปลอดภัย ผู้ประกอบการก้าวไกล ระบบคุ้มครองสุขภาพไทยยั่งยืน
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ด้วยการนำเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) มาดำเนินการเพื่อพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการทำงาน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของบุคลากรภายในองค์กร ทำให้ อย. ได้รับรางวัลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) อย่างต่อเนื่อง สำหรับในปี 2566 นี้ อย. สุดภาคภูมิใจที่สามารถคว้ารางวัลคุณภาพดังกล่าวได้ถึง 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) ระดับดีเด่น และ รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 (PMQA 4.0) ระดับก้าวหน้า (Advance) รวมทั้ง รางวัลบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี จากผลงาน “อย. ของ่ายได้ที่บ้าน (FDA Smart Licensing)” ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการทำงานที่ อย. นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้รับบริการที่มาติดต่อขออนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ
ทั้งนี้ อย. ได้รับรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐครบทุกหมวดแล้ว ได้แก่ 1. การนำองค์กรและความรับผิดชอบต่อสังคม 2. การวางแผนยุทธศาสตร์ฯ 3. การมุ่งเน้นผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4. การวัด วิเคราะห์และจัดการความรู้ 5. การบริหารทรัพยากรบุคคล 6. กระบวนการคุณภาพและนวัตกรรม โดย อย. ยังคงยึดมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ผ่านกลไก “BETTER” (BCG Model, E-service, Technology for Life, Team Thailand, Empowerment และ Rapid Response) ซึ่งประกอบด้วยแนวทางหลัก เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยผลิตภัณฑ์สุขภาพไทย การอนุญาตผลิตภัณฑ์ด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส ได้มาตรฐานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างทีมประเทศไทยด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วน ให้เกิดการพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค รวมทั้งการยกระดับการเฝ้าระวัง การจัดการความเสี่ยงและการเตือนภัยที่ทันเหตุการณ์ เป็นต้น เพื่อมุ่งสู่ผลสำเร็จสูงสุดในการทำให้ผู้บริโภคปลอดภัย ผู้ประกอบการก้าวไกล ระบบคุ้มครองสุขภาพไทยยั่งยืน -
อย. ให้ความรู้ ผลิตภัณฑ์กันยุงกับเด็กเล็ก
ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนหรือนั่งตรงไหน จะมืดหรือสว่างก็มักจะมียุงตามมากัดจนน่ารำคาญ ซ้ำร้ายก็อาจจะทำให้เราต้องเจ็บป่วยเพราะยุงเป็นพาหะก่อให้เกิดโรคหลายโรค เช่น โรคไข้เลือดออก โรคมาลาเรีย โรคชิคุนกุนย่า ดังนั้น การป้องกันยุงกัดจึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจและให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ในบทความนี้จึงขอแนะนำผลิตภัณฑ์กันยุงสำหรับเด็กเล็กเพื่อเป็นทางเลือกให้กับคุณพ่อคุณแม่กัน
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักสารออกฤทธิ์ในสเปรย์หรือยาทากันยุงกันก่อน ซึ่งโดยทั่วไปครีม โลชัน หรือสเปรย์กันยุงนั้นจะใช้สารออกฤทธิ์ที่ไม่แตกต่างกัน อาทิ ดีอีอีที (DEET), อิคาริดิน (Icaridin), เอทิลบิวทิลอะซีทิลอะมิโนโพรไพโอเนต (Ethyl butylacetyl aminopropionate) หรืออีกชื่อคือ ไออาร์ 3535 (IR 3535) ซึ่งสารออกฤทธิ์แต่ละชนิดจะมีข้อแนะนำการใช้ในเด็กที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก ชนิด และความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ ดังนี้
- ดีอีอีที (DEET) ให้ใช้ในเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
- อิคาริดิน (Icaridin)ให้ใช้ในเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป
- ไออาร์ 3535 (IR 3535)ให้ใช้ในเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
- น้ำมันตะไคร้หอม (Citronella oil) ให้ใช้ในเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
- น้ำมันยูคาลิปตัส (Eucalyptus oil) ให้ใช้ในเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
สำหรับผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีน้ำมันหอมระเหย หรือสารสกัดจากธรรมชาติ เป็นสารออกฤทธิ์ไล่ยุงนั้น ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อย. เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส (ยกเว้นผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีน้ำมันตะไคร้หอม หรือ Citronella oil เป็นสารออกฤทธิ์) ดังนั้นในการเลือกผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีน้ำมันตะไคร้หอมเป็นสารออกฤทธิ์ ควรเลือกซื้อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ฉลากแสดงเลขที่รับแจ้ง และสำหรับผลิตภัณฑ์กันยุงที่มีสารดีอีอีที, อิคาริดิน, ไออาร์ 3535 เป็นสารออกฤทธิ์ไล่ยุง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ฉลากแสดงเลขทะเบียน อย. วอส. ในกรอบเครื่องหมาย อย. และควรอ่านฉลากก่อนใช้ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม การใช้ผลิตภัณฑ์กันยุง ควรใช้ในกรณีที่ความจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นประจำ และไม่ควรใช้ในปริมาณมาก สำหรับการใช้ในเด็กให้ดูที่คำเตือนบนฉลากผลิตภัณฑ์ว่าห้ามใช้ในเด็กอายุเท่าใด ทั้งนี้ ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงในเด็กทารก แต่ควรใช้วิธีป้องกันยุงด้วยวิธีอื่น เช่น สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่ถุงเท้า กางมุ้ง แต่หากจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงกับเด็ก ผู้ใหญ่ควรดูแลการใช้ผลิตภัณฑ์กันยุง ไม่ควรให้เด็กทาหรือพ่นสเปรย์กันยุงเอง ที่สำคัญหลังจากใช้งานเสร็จ หรือกลับมาอยู่ในห้องแล้วควรล้างผิวบริเวณที่ใช้ผลิตภัณฑ์กันยุงด้วยสบู่และน้ำให้สะอาด -
อย. ตรวจพบ 3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ถูกยกเลิกเลขอนุญาตแล้ว แต่ยังพบโฆษณาโอ้อวดเกินจริง
อย.เฝ้าระวังโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่ออีมาร์เก็ตเพลส พบผลิตภัณฑ์ 3 รายการ โฆษณาบนเว็บไซต์ออนไลน์ ได้แก่
1. มิกซ์ออยล์ ออริจิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ตรา วีริช) เลขสารบบอาหาร 70-1-27160-5-0205 ระบุสรรพคุณ “...ควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอล...ต่อต้านอนุมูลอิสระ...บรรเทาอาการวัยทองทั้งปวง บำรุงสายตา กระดูก เล็บ และเส้นผม บำรุงประสาทและสมอง ช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น...”
2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คอร์เช่ เลขสารบบอาหาร 13-1-12560-5-0044 ระบุสรรพคุณ “...เร่งเผาผลาญไขมัน...ลดหิว...ดักจับไขมัน ลดไขมันสะสม...ลดคอเลสเตอรอล...”
3. ยูเอส (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) เลขสารบบอาหาร 76-1-17557-5-0135 ระบุสรรพคุณ “...เผาผลาญง่าย สลายไขมัน เอวเป๊ะปัง!! ...ช่วยลดความอยากอาหาร ลดการกินจุกจิก...เปลี่ยนหุ่นหมู เป็นหุ่นเพรียว...ไม่ใจสั่น ไม่ดีด ไม่ปากแห้ง ไม่โยโย่...”
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของผลิตภัณฑ์อาหารอันเป็นเท็จหรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร และไม่ได้รับอนุญาต จึงได้สั่งระงับโฆษณาและดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องแล้ว และเมื่อตรวจสอบเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รายการ พบสถานะผลิตภัณฑ์ยกเลิกโดยผู้ประกอบการ ตั้งแต่ 27/6/2566, 14/9/2565 และ 18/10/2564 ตามลำดับ ทั้งนี้ อย. จะเฝ้าระวังการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดต่อไป หากพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ฉลากระบุวันผลิตหลังการยกเลิกเลข อย. จะเข้าข่ายการผลิตและจำหน่ายอาหารปลอม ซึ่งผู้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายจะได้รับโทษจำคุกหรือปรับ และขอเตือนผู้บริโภคระมัดระวังการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาบริโภค
ข้อแนะนำ
ขอแนะผู้บริโภคว่าก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลการอนุญาตผลิตภัณฑ์ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ที่www.fda.moph.go.thหรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook :FDAThai และควรพิจารณาเนื้อหาการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย. ไม่อนุญาตให้โฆษณาในทำนองที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคหรือลดน้ำหนัก แต่อย่างใด ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบการได้รับอนุญาตโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร ยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ อย. หมวดบริการประชาชน หัวข้อสืบค้นใบอนุญาตโฆษณา กรณีมีปัญหาสุขภาพควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธี ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถาม หรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
ความรู้ อย. นมเปรี้ยว ของดีมีประโยชน์
นมเปรี้ยว (Fermented milk) คือ ผลิตภัณฑ์นมที่ได้จากน้ำนมสัตว์ที่นำมาบริโภคได้ หรือส่วนประกอบของน้ำนมที่ผ่านการทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคแล้วหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค หรืออันตราย และอาจปรุงแต่งกลิ่นรส สี หรือเติมวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร หรือส่วนประกอบอื่นที่ไม่ใช่นม เช่น จุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งใช้ในอาหารก็ได้
นมเปรี้ยว แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายในประเทศไทยได้ 2 ชนิด คือ นมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่มหรือชนิดพร้อมดื่ม และนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต นมเปรี้ยวจะมีสารอาหารบางชนิดน้อยกว่านมสดโดยจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมักนมเปรี้ยวจะย่อยน้ำตาลแล็กโทสในนมผู้บริโภคจึงได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนแคลเซียม และฟอสฟอรัสที่มีอยู่ในนม รวมทั้งเชื้อจุลินทรีย์มีชีวิตในผลิตภัณฑ์อย่างไรก็ตาม หากรับประทานนมเปรี้ยวมากเกินความจำเป็นของร่างกาย อาจเป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ จากน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบของนมเปรี้ยว ดังนั้นก่อนเลือกซื้อ ผู้บริโภคควรพิจารณารายละเอียดข้อความบนฉลากภาษาไทยของผลิตภัณฑ์ เช่น ชื่ออาหาร เลขสารบบอาหาร ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า วันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุ และสูตรส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ควรอ่านฉลากโภชนาการให้ละเอียดและเพื่อเป็นการควบคุมปริมาณน้ำตาลจึงควรเลือกซื้อนมเปรี้ยวที่มีสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” ซึ่งหลักเกณฑ์ของผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว (ชนิดกึ่งแข็งกึ่งเหลวและชนิดพร้อมดื่ม) จะกำหนดปริมาณน้ำตาลทั้งหมด ≤ 5 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ยกเว้นหากหนึ่งหน่วยบริโภคมีปริมาณมากกว่า 150% ของหน่วยบริโภคอ้างอิง (150 มิลลิลิตร) ต้องมีน้ำตาลทั้งหมดไม่เกิน 11.25 กรัม
-
อย. เตือนเด็กไม่ควรกินเยลลี่ผสมกัญชา
จากกรณีเพจดังพบเด็ก 4 ขวบถูกพาส่ง รพ. หลังพบกินเยลลี่มีส่วนผสมของกัญชาที่ลักลอบนำเข้ามาเภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เผย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ห่วงใยผู้บริโภค โดยเฉพาะเด็กไม่ควรรับประทาน ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของกัญชาที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่ายจัดเป็นอาหารที่ต้องได้รับอนุญาตเลขสารบบอาหาร ซึ่งต้องผ่านการประเมินความปลอดภัย โดยมีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค (THC ต้องไม่เกิน 1.6 มิลลิกรัมต่อขวด/กล่อง/ซอง) และเข้มงวดในการพิจารณาสูตรส่วนประกอบ รวมทั้งผลตรวจพิสูจน์ปริมาณ THC กำหนดให้ฉลากผลิตภัณฑ์แสดงข้อแนะนำการบริโภคเพื่อความปลอดภัย เช่น" ไม่ควรบริโภคเกินวันละ 2 หน่วยบรรจุ (ขวด/กล่อง/ซอง)" และแสดงข้อความคำเตือนที่เห็นได้ชัดเจนบนฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา ได้แก่ “เด็ก สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ไม่ควรรับประทาน” “หากมีอาการผิดปกติ ควรหยุดรับประทานทันที” “ผู้ที่แพ้หรือไวต่อสาร THC หรือ CBD ควรระวังในการรับประทาน” จึงขอเตือนผู้ปกครองให้ดูแลบุตรหลาน ห้ามเด็กกินเยลลี่ผสมกัญชาที่ลักลอบนำเข้า เสี่ยงอันตราย โดยสังเกตบนซองขนมไม่มีฉลากภาษาไทย พบภาพสัญลักษณ์ หรือข้อความเกี่ยวกับกัญชา เช่น ภาพใบกัญชา ข้อความ Canabis หรือ CA หรือ THC
เยลลี่กัญชาที่ผลิตในต่างประเทศชื่อ Trolli SOUR watermelon SHARKS เป็นอาหารที่ห้ามนำเข้า หากพบการลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท โดย อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร่วมกันเฝ้าระวังทั่วประเทศ ซึ่งหากพบการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย จะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทันที และหากสงสัยว่า มีการกระทำฝ่าฝืน หรือมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย.แจ้งไม่มีการนำเข้า/วางจำหน่ายนมผงปนเปื้อน เชื้อครอโนแบคเตอร์ซากาซากิ ในไทย
อย. ตรวจสอบแล้วผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับทารกที่ USFDA แจ้งเตือนให้ผู้ผลิตเรียกคืน เนื่องจากพบเชื้อครอโนแบคเตอร์ซากาซากิ ไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย ขอผู้บริโภควางใจ อย. มีการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์นมและอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กอย่างเข้มงวด
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข่าวองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (USFDA) ได้แจ้งให้ผู้ผลิตนมผงสำหรับทารกเรียกคืน 3 ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากอาจปนเปื้อนเชื้อครอโนแบคเตอร์ ซากาซากิ (Cronobacter sakazakii) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ByHeart Whole Nutrition Infant Formula, Milk Based Powder with Iron for 0-12 months ผลิตภัณฑ์ Gerber® Good Start® SootheProTM Powdered Infant Formula และ ผลิตภัณฑ์ ProSobee Simply Plant-Based Infant Formula รุ่นการผลิตที่มีการเรียกคืนตรวจสอบได้ที่คิวอาร์โค้ดนี้
จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่าไม่มีการนำเข้าและวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีการปนเปื้อนดังกล่าว ขอให้ผู้บริโภควางใจ เนื่องจาก อย. มีมาตรการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศอย่างเข้มงวด และตรวจสอบเฝ้าระวังความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่าย รวมทั้งติดตามรายงานสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยของอาหารในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด
ผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อครอโนแบคเตอร์ ซากาซากิ ซึ่งจัดเป็นอาหารผิดมาตรฐาน จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ จะมีโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
หากสงสัยว่ามีการกระทำฝ่าฝืน หรือมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
ความรู้ อย. ยากับภาวะ “ความดันโลหิตสูง”
พูดถึงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สำหรับบางคนต้องรักษาด้วยยาเป็นหลัก และมักต้องใช้ยาหลายชนิดในการรักษา รวมถึงต้องใช้ติดต่อเป็นเวลานาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นอีกหนึ่งในโรคที่ต้องใช้ยาในการรักษาหากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่ดีขึ้น
การใช้ยาลดความดันโลหิตแพทย์จะพิจารณาจากค่าความดันโลหิต เฉลี่ยที่วัดได้จากสถานพยาบาล รวมถึงโรคร่วมและระดับความเสี่ยงที่จะเกิดโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ของแต่ละบุคคล การใช้ยาจึงต้องผ่านการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์เท่านั้น ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต และควรทำความเข้าใจในการใช้ยา ดังนี้
1. ทำความเข้าใจข้อมูลของตัวยาที่ได้รับ ทั้งชื่อยา ขนาดยา รูปแบบยา วิธีการรับประทานยา การเก็บรักษา โดยมีข้อที่ควรทราบเกี่ยวกับการรับประทานยา คือ ควรรับประทานยาต่อเนื่องทุกวันให้ตรงเวลา หากลืมรับประทานยา และนึกขึ้นได้เมื่อใกล้มื้อถัดไป ให้รับประทานยาของมื้อนั้น โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า ห้ามหักแบ่ง บด เคี้ยวยาที่มีการปลดปล่อยตัวยารูปแบบพิเศษให้ค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวยา เนื่องจากทำให้รูปแบบการปลดปล่อยตัวยาพิเศษเสียไป และทำให้ได้รับยาเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่สูงมากในครั้งเดียว ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามกับแพทย์หรือเภสัชกรให้ชัดเจน
2. จดจำอาการข้างเคียงจากยา ซึ่งบางครั้งอาจมีคำเตือนที่ซองยา โดยยาลดความดันโลหิตส่วนใหญ่อาจทำให้วูบ ความดันตกขณะเปลี่ยนท่าทาง หน้ามืด ซึ่งอาจเกิดได้กับคนที่รับประทานยา นอกจากนี้อาจพบอาการข้างเคียงเฉพาะของแต่ละตัวยา เช่น ไอแห้งเรื้อรัง เท้าบวม ปัสสาวะบ่อย หอบหืดกำเริบ เป็นต้น โดยให้มาพบแพทย์ก่อนนัด แต่ห้ามหยุดหรือลองปรับลดขนาดยาเอง
3. เพื่อป้องกัน “ยาตีกัน” หรือ “ปฏิกิริยาระหว่างยา” ไม่ว่าจะกับยาด้วยกันเอง อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาอื่นร่วมด้วยทุกครั้ง
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีผลกับยาลดความดัน
ยาลดความดันโลหิต
ยาอื่น/อาหาร/สมุนไพร
ผลกระทบ
Felodipine
น้ำส้มโอ
ทำให้ระดับยาในกระแสเลือดสูงขึ้น
Methyldopa
ธาตุเหล็ก
ลดการดูดซึมยา Methyldopa ทำให้ออกฤทธิ์ลดความดันได้น้อยลง
Enalapril , Amlodipine
บัวบก
ทำให้ระดับยาลดความดันทั้ง 2 ชนิดในเลือดสูงขึ้น เพิ่มผลข้างเคียงหรือพิษจากยาลดความดัน
Thiazide
มะขามแขก
เมื่อใช้ติดต่อเป็นเวลานานทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
Verapamil , Diltiazem
Cimetidine
(ยารักษาโรคกระเพาะ)
ลดการสลายของยาที่ตับ เกิดการสะสมของยาลดความดัน
4. ยาบางชนิดอาจเป็นสาเหตุให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาแก้คัดจมูก ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เป็นต้น โดยผู้ที่รับประทานยาลดความดันโลหิต ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเข้ารับการรักษาทุกครั้ง เพื่อพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสม
5. ในกรณีที่ยาหมดแต่ไม่สะดวกไปโรงพยาบาลหรือเลื่อนนัด ควรหาซื้อยาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกร ให้คำแนะนำและดูตัวยาที่ตรงกันให้ พร้อมนำแผงและซองยาเก่าไปด้วย ไม่ควรปล่อยให้ขาดยาหรือหยิบยืมยาคนอื่นมาใช้ เนื่องจากยาบางอย่างมีรูปแบบแผงคล้ายกัน อาจทำให้สับสน ได้รับยาผิดชนิดหรือผิดขนาดได้ -
อย. ห่วยใย กินเค็มมาก เสี่ยงไม่รู้ตัว
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ติดรสเค็มโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากพฤติกรรมชอบเติมเครื่องปรุงรสโดยเฉพาะ น้ำปลาเกลือ ซอสปรุงรส ผงชูรส อีกทั้งชอบรับประทานอาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป และขนมกรุบกรอบ ที่อาหารเหล่านี้มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
โซเดียม คือเกลือแร่ที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย จะทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของเกลือแร่ ช่วยกระจายตัวของน้ำในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควบคุมสมดุลของกรด-ด่าง ควบคุมการเต้นของหัวใจและชีพจร มีผลต่อความดันโลหิตและการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งโซเดียมเป็นเกลือแร่ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่เราจะได้รับโซเดียมจากอาหารที่กินเข้าไป ดังนั้น การกินอาหารที่มีรสเค็มมากเป็นประจำ อาจทำให้ได้รับโซเดียมในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่างตามมา เช่น
1. ความดันโลหิตสูง
2. โรคไตเรื้อรัง
3. โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
4. โรคหัวใจและหลอดเลือด
เราสามารถควบคุมปริมาณโซเดียมง่าย ๆ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ปรุงรสตามใจชอบ หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารหมักดอง/แช่อิ่ม อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง ขนมกรุบกรอบ และเบเกอรี หากจำเป็นต้องกิน ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้ง แล้วเลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยที่สุด หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice) เป็นทางเลือกที่จะช่วยลดและควบคุมปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารนั้น โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO กำหนดมาตรฐานว่า ควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัมต่อวัน หากเกินกว่าปริมาณนี้จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายและเกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีห่างไกลโรคได้แล้ว
-
อย. จับมือกระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของอินเดีย สร้างความปลอดภัยอาหารของทั้งสองประเทศ
อย. ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของอินเดีย แลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อให้ประชาชนได้บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัย และส่งเสริมภาคธุรกิจให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
25 สิงหาคม 2566 เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ให้การต้อนรับ Mr. Sanoj Kumar Jha, รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารของอินเดีย (Additional Secretary, Ministry of Food Processing Industry), Mr. Dharmendra Singh, First Secretary (Economic & Commercial) สถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย และ Ms. Aayushi Bhatia, Senior Investment Specialist, Invest India เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกฎระเบียบการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์อาหาร การสนับสนุนจากภาครัฐแก่ผู้ประกอบการด้านอาหารแปรรูป รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือด้านอาหารระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ประชาชนไทยและอินเดียได้บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความปลอดภัยและเกิดความมั่นใจในคุณภาพความปลอดภัยของอาหารที่ผลิตในประเทศไทยและอินเดีย
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวว่า ไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) โดยไทยและอินเดียมีมูลค่าการค้ารวม 6.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในเทคโนโลยีการแปรรูปอาหาร ขณะที่ประเทศอินเดียเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารและมีศักยภาพด้านการผลิต ซึ่งหากภาครัฐทั้งสองประเทศมีความร่วมมือระหว่างกันจะทำให้อุตสาหกรรมด้านอาหารแปรรูปมีความก้าวหน้าและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยการประชุมในวันนี้นับเป็นก้าวแรกในการมีส่วนร่วมของทั้งสองประเทศ ซึ่ง อย. มีความยินดีที่จะสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปจากประเทศอินเดีย รวมถึง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อให้ประชาชนได้บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัย ตลอดจนส่งเสริมภาคธุรกิจให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืนต่อไป -
อย. มอบโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้นำเข้าคุณภาพสูงที่ผ่านเกณฑ์ GIP Plus
อย. มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติแก่ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผ่านการรับรองตามเกณฑ์ GIP Plus จำนวน 17 ราย หวังสร้างแรงจูงใจให้ผู้นำเข้ารายอื่นถือเป็นแบบอย่างในการพัฒนายกระดับตนเองให้เป็นผู้นำเข้าคุณภาพสูง
วันนี้ (29 สิงหาคม 2566) ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเป็นประธานเปิดงานส่งเสริมผู้ประกอบการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพตามวิธีการที่ดีในการนำหรือสั่งผลิตภัณฑ์สุขภาพเข้ามาในราชอาณาจักร (GIP Plus) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่พัฒนาขึ้นจากหลักเกณฑ์ GIP พ.ศ. 2560 นำมาผนวกกับเกณฑ์ที่ชี้บ่งการเป็นคนดี มีคุณธรรม ธรรมาภิบาล เพื่อยกระดับผู้นำเข้าให้เป็นผู้นำเข้าคุณภาพสูง สร้างความมั่นใจได้ว่าจะสามารถนำเข้าสินค้าที่ถูกต้อง ได้มาตรฐาน และปลอดภัยกับผู้บริโภค ได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ ตรวจปล่อยอาหารอัตโนมัติ รับบริการที่ช่องทางด่วนพิเศษ GIP Lane ทำให้การตรวจปล่อยสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพิ่มโอกาสในการแข่งขัน โดยงานในวันนี้มีการมอบรางวัลให้แก่ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้การรับรองตามเกณฑ์ดังกล่าว จำนวน 17 ราย เพื่อประกาศเกียรติคุณและเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้นำเข้าที่ดี มีคุณภาพสูงดังกล่าว
GIP Plus เป็นการพัฒนารูปแบบการทำงานของด่านอาหารและยา โดยใช้หลักการบริหารจัดการความเสี่ยงร่วมกับแนวคิด BETTER (BCG Model, E-service, Technology for Life, Team Thailand, Empowerment และ Rapid Response) ให้ตรวจปล่อยสินค้าคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยที่สินค้ายังคงคุณภาพมาตรฐานและปลอดภัย ด้วยบริการที่โปร่งใสและสร้างความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการ อันจะช่วยสนับสนุนและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ เสริมเศรษฐกิจ และสร้างความมั่นคงด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตามหลักการ 5S ของ อย. คือ Speed, Safety, Satisfaction, Supporter และ Sustainability
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้ง 17 ราย ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศในครั้งนี้ และขอส่งกำลังใจให้แก่ผู้นำเข้ารายอื่นที่กำลังพัฒนายกระดับตนเองให้เป็นผู้นำเข้าคุณภาพสูงเพื่อได้รับการรับรองตามเกณฑ์ GIP Plus โดย อย. พร้อมส่งเสริมสนับสนุนอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการนำเข้าทุกรายต่อไป
-
อย.จัดประชุมวิชาการงานคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติปี66มุ่งพัฒนาด้วยดิจิทัล/นวัตกรรม
อย. จัดประชุมวิชาการงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพแห่งชาติ เน้น “Digital X Innovation : 5s Key to Success ”เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์งานคุ้มครองผู้บริโภค ส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติงานแบบเชิงรุก เสริมสร้างแนวคิดการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีการนำเสนอผลงานวิชาการความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยในงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ และส่งเสริมให้เกิดการนำผลงานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมมอบรางวัลเครือข่าย คบส. ดีเด่น จำนวน 54 รางวัล ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ พาลาสโซ่ จังหวัดชลบุรี
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ มีการปาฐกถาพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับดิจิทัลกับงานคุ้มครองผู้บริโภคในหลากหลายมิติ โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญจากหลายองค์กรมาเป็นองค์ปาฐก เช่น เรื่อง “AI & the Future of Thailand’s Health Products” โดย ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด เรื่อง“การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยและในระดับสากล ปัญหาที่สังคมไทยต้องตระหนัก” โดย รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมด้านการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านวิชาการด้วย เช่น กิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในประเด็นต่าง ๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจ เช่น เทรนด์ผลิตภัณฑ์สุขภาพและนวัตกรรม “Future Health Products” “มาตรการป้องกันภัยหลอกลวงทางออนไลน์” “Cyber security for Digital Organization” “BCG Economy Model” “ผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในยุคดิจิทัล” และ “อย. Quality Award จากเศรษฐกิจฐานรากสู่สากล” กิจกรรมการประกวดผลงานวิชาการทั้งการนำเสนอบนเวที และ นำเสนอแบบโปสเตอร์ และมีการจัดแสดงนิทรรศการวิชาการผลงานการจัดการความรู้ดีเด่นของ อย. และ invite paper จากเครือข่ายภาคประชาชน อีกทั้ง ยังมีการมอบรางวัลให้แก่เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่น เพื่อเป็นเกียรติประวัติและขวัญกำลังใจแก่เครือข่าย คบส. ที่สนับสนุนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพของ อย. ด้วยดีเสมอมา
การประชุมครั้งนี้หวังผลให้เครือข่ายดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งประเทศได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน สามารถนำองค์ความรู้ด้านดิจิทัล นวัตกรรม และงานวิจัย ไปประยุกต์ใช้ในงานและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคต เลขาธิการฯ กล่าวในที่สุด
-
อย. เตือน ห้ามใช้หลอดเก็บเลือดไปบรรจุอาหารหรือเครื่องดื่มสำหรับรับประทานในทุกกรณี
อย. เตือน อย่านำหลอดเก็บเลือดมาใช้บรรจุอาหารหรือเครื่องดื่มสำหรับรับประทานในทุกกรณี เสี่ยงได้รับอันตรายจากสารเคมี เนื่องจากภายในหลอดมีการเคลือบสารเคมีบางชนิดเพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือด หรือนำหลอดเก็บเลือดที่เคยใช้งานแล้วมาทำความสะอาดใหม่เพราะยังคงมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่ตกค้างอยู่
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า จากข้อมูลที่เผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ว่ามีร้านค้าใกล้โรงเรียนได้นำหลอดเก็บเลือดมาใส่น้ำสีชมพู เพื่อจำหน่ายเป็นกล่องสุ่มให้เด็กรับประทานเป็นขนมนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอเตือนว่า หลอดเก็บเลือด (Blood collection tube) ถูกออกแบบมาสำหรับเก็บตัวอย่างเลือดจากร่างกายมนุษย์เพื่อวินิจฉัยทางการแพทย์ โดยภายในหลอดดังกล่าวมีการเคลือบสารเคมีบางชนิด เพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือด ซึ่งสารเคมีนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายหากมีการสัมผัสหรือนำเข้าสู่ร่างกาย เช่น การรับประทาน ดังนั้น การบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่บรรจุในหลอดเก็บเลือด จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ เพราะอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ นอกจากนี้ การนำหลอดเก็บเลือดที่เคยใช้งานจากสถานพยาบาลแล้วมาทำความสะอาดเพื่อบรรจุอาหารหรือเครื่องดื่มจำหน่ายนั้น ยังคงมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่ใช้ในการวิเคราะห์หรือเลือดที่ตกค้างอยู่ภายในหลอด ดังนั้น จึงไม่สมควรนำมาใช้ซ้ำในทุกกรณีแม้จะทำความสะอาดแล้วก็ตาม
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวย้ำว่า ขอเตือนประชาชน อย่าซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มที่บรรจุในภาชนะที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ หากพบหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย.1556 Facebook: FDAThai Line: @FDAThai หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
อย. ย้ำ เครื่องสำอางในขวดรูปแบบยาฉีด ห้ามใช้ฉีดเข้าผิวหนัง
อย. แจง การโฆษณาและรีวิวที่นำเครื่องสำอางในขวดรูปแบบยาฉีดไปฉีดเข้าร่างกาย หรือใช้เครื่องมือแพทย์ผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนังเป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์ อาจเกิดอันตราย ควรตรวจสอบประเภทผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ หากพบจดแจ้งเป็นเครื่องสำอางห้ามใช้ฉีดโดยเด็ดขาด
จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบการโฆษณาและรีวิวในเว็บไซต์มีการนำเครื่องสำอางในขวดรูปแบบยาฉีด (แอมพูล/ไวอัล) ฉีดเข้าร่างกายหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์อื่น ๆ ในการผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนังเพื่อความสวยงาม โดยอ้างว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่าน อย. แล้ว เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ชี้แจงว่า ผลิตภัณฑ์ที่จดแจ้งเป็นเครื่องสำอางจะไม่มีการประเมินความปลอดภัยจากการใช้กรณีนำไปฉีดหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากเครื่องสำอางจะใช้ทาภายนอก ดังนั้น หากนำเครื่องสำอางไปใช้ผิดวิธีหรือผิดวัตถุประสงค์อาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ที่ผ่านมา อย. ได้มีการเพิกถอนใบรับจดแจ้งเครื่องสำอางที่พบว่ามีการนำไปใช้ฉีดแล้ว จำนวน 3 ฉบับ และมีการดำเนินคดีผู้โฆษณาจำนวน 12 ราย
อย. ขอเตือนทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการในคลินิกเสริมความงาม โรงพยาบาล ให้ตรวจสอบฉลากและพิจารณาการใช้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบแอมพูล/ไวอัลอย่างละเอียด โดยเฉพาะที่มีการกล่าวอ้างว่า “ผ่าน อย. แล้ว” เพราะผลิตภัณฑ์ที่ผ่าน อย. มีหลายประเภทตามระดับความเสี่ยง กรณีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกาย จัดว่ามีความเสี่ยงสูง ต้องผ่านการขึ้นทะเบียนเป็นยา หรือเครื่องมือแพทย์เท่านั้น โดย อย.ได้จัดทำข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการจดแจ้งเป็นเครื่องสำอางที่บรรจุอยู่ในแอมพูล/ไวอัล ให้ประชาชนตรวจสอบได้ตาม https://shorturl.asia/iz5qj หรือ QR code ด้านล่าง หากพบว่าผลิตภัณฑ์จดแจ้งเป็นเครื่องสำอาง ห้ามนำมาใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายหรือใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์อื่น ๆ เพื่อผลักดันสารเข้าสู่ผิวหนังโดยเด็ดขาด
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. ส่งเสริมผู้ประกอบการท้องถิ่น หนุนนโยบายนำสุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย. ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เยี่ยมชมและสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท ไมเนอร์ แดรี่ จำกัด ผู้ผลิตไอศกรีม ท๊อปปิ้ง และชีสหลากหลายชนิด และวิสาหกิจชุมชนท่าช้าง OTOP เขาใหญ่ แหล่งผลิตอาหารขึ้นชื่อเมืองโคราช หนุนนโยบายนำสุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการนำสุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย.จึงได้มุ่งมั่นในการส่งเสริม ยกระดับมาตรฐานการผลิตของผู้ประกอบการทั้งระดับใหญ่และระดับชุมชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของผู้ประกอบการสู่ระดับสากล โดยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2566 ได้นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงาน บริษัท ไมเนอร์ แดรี่ จำกัด (MDL) ตั้งอยู่ที่ 9/1 หมู่ที่ 6 ซอยซับจำปา ถนนมิตรภาพ ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นผู้ผลิตไอศกรีม ท๊อปปิ้ง และชีสหลากหลายชนิด ทั้งมอสเซเรล่า เชดด้า เนยแข็ง พาเมซาน มาสคาโปน ครีมชีส และซาวครีม เพื่อนำส่งให้กับแบรนด์ร้านอาหารในเครือไมเนอร์ ฟู้ด อาทิ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ แดรี่ ควีน เบอร์เกอร์ คิง และบริษัทคู่ค้าที่ให้บริการด้านอาหารทั้งในประเทศไทย และในระดับภูมิภาค
จากนั้นตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชนท่าช้าง OTOP เขาใหญ่ ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แหล่งผลิตน้ำพริกตาแดงปลาย่าง น้ำพริกกุ้งเสียบ ไข่เค็มสุกพร้อมรับประทาน ซึ่งมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานการผลิตตามมาตรฐาน อย. มีการคัดเลือกวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน เป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษาดูงาน และได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชนปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้ ยังมีวิสาหกิจชุมชนพืชสวนและสมุนไพรบ้านสระน้ำใส OTOP เขาใหญ่ รสาสวนกุหลาบมอญเขาใหญ่และตังค์เติมเต็ม ขั่วหมี่โคราช เข้าร่วมรับฟังคำแนะนำ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วย
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ได้ให้คำแนะนำด้านคุณภาพมาตรฐานในการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อนำไปปรับปรุงการดำเนินงานให้เข้าถึงและเกิดประโยชน์แก่วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการมากที่สุด ซึ่ง อย. เชื่อมั่นว่าด้วยความตั้งใจจริงในการประกอบกิจการของวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ จะทำให้เศรษฐกิจในชุมชนมีความเข้มแข็ง ส่งต่อให้เศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศมั่นคงแข็งแรงในที่สุด -
ผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ วิน-เฮิร์บส์ Dietary Supplement Product Winherbs ซึ่งแสดงข้อความ “สลายไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยให้ระบบเลือดหมุนเวียนดี ลดความเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ และสมองตีบ แตก ตัน” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย.จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป... -
อย. จับมือ กรมประมง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กำหนดมาตรการตรวจสอบอาหารทะเลนำเข้าจากญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมด้วย ดร.ถาวร ทันใจ รองอธิบดีกรมประมง ร่วมประชุมกับผู้แทนจากสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) เพื่อกำหนดมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบอาหารทะเลนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น กรณีการปล่อยน้ำปนเปื้อนจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในจังหวัดฟุกุชิมะ ลงสู่ทะเล เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ถึงแม้ว่าน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วจะมีปริมาณสารกัมมันตรังสีต่ำกว่าเกณฑ์กำกับดูแล (Regulatory Standards) สำหรับการปล่อยทิ้งของญี่ปุ่น และเกณฑ์แนะนำ (Guideline Level) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) สำหรับน้ำดื่ม รวมถึงได้รับความเห็นชอบจากทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศให้สามารถปล่อยน้ำปนเปื้อนที่ผ่านการบำบัดลงสู่ทะเลได้
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ขอผู้บริโภคอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัย เพราะการนำเข้าอาหารทะแล เจ้าหน้าที่ด่านประมง ของกรมประมง และด่านอาหารและยา ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อมิให้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีในอาหารเกินมาตรฐานที่กำหนด หากพบจะสั่งเรียกคืน และระงับการนำเข้าทันที
ด้าน ดร.ถาวร ทันใจ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขกำหนดมาตรการในการเฝ้าระวังและตรวจสอบ ขอให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในระบบตรวจสอบสินค้าเกษตรและอาหารทะเลที่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มุ่งเน้นที่จะยกระดับความปลอดภัยของสินค้าเกษตรและอาหาร
ทั้งนี้ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ในจังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2554 กองด่านอาหารและยา อย. สุ่มตัวอย่างอาหารทะเลจากประเทศญี่ปุ่น กว่า 1,000 ตัวอย่าง ส่งตรวจวิเคราะห์ที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อตรวจวัดปริมาณกัมมันตรังสี ไม่พบตัวอย่างอาหารที่มีปริมาณกัมมันตรังสีเกินเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข และจากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ประเทศญี่ปุ่น ได้เก็บตัวอย่างอาหารทะเลและผลิตภัณฑ์ประมงจากเมืองฟูกุชิมะ ส่งตรวจวิเคราะห์ในปี 2565 จนถึงเดือนเมษายน 2566 จํานวน 4,375 ตัวอย่าง พบค่าการปนเปื้อนกัมมันตรังสีไม่เกินมาตรฐานตามที่กำหนดในประกาศกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยเช่นกัน
รองเลขาธิการ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย.ร่วมกับกรมประมง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) ดำเนินการเฝ้าระวังอาหารที่นำเข้าอย่างเข้มงวดซึ่งหากพบการปนเปื้อน อย.จะใช้มาตรการส่งคืนหรือทำลาย ขอให้ประชาชนวางใจในการดำเนินงานของ อย. และกรมประมง ขอให้รับฟังข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน ภาครัฐมีการเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลจากทั้งในและต่างประเทศ หากพบผลิตภัณฑ์อาหารใดที่เป็นอันตราย และประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ประชาชนทราบทันที หากผู้บริโภคพบผลิตภัณฑ์อาหารใดสงสัยว่าจะเป็นอันตราย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด
-
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดฟู่ BOOM D -NAX เลขสารบบอาหาร 73-1-00154-5-0125
ผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ BOOM D -NAX บูม ดี – แนกซ์ 20 Effervescent Tablets เลขสารบบอาหาร 73-1-00154-5-0125 ซึ่งแสดง ข้อความ “BOOM D - บูม NAX ดีแนกซ์ ฟื้นคืนสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็ง เส้นเลือดตีบ พาร์คินสัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบภายใน ลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง” เป็นการโฆษณา คุณประโยชน์ คุณภาพ ของอาหารอันเป็นเท็จโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมาย กับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป... -
อย. แนะตรวจสอบข้อมูลก่อนเข้ารับบริการเสริมความงาม กันหน้าพัง
อย. แนะผู้บริโภคที่ต้องการเข้ารับบริการเสริมความงาม ควรตรวจสอบข้อมูลเพื่อความปลอดภัยว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้รับอนุญาตจาก อย. หรือไม่ สถานบริการได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่ รวมถึงผู้ให้บริการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขหรือไม่
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวผู้รับบริการหน้าพังหลังเข้าคอร์สทำหน้า “พิโคเลเซอร์ (Pico Laser)” จากคลินิกและทราบภายหลังว่าผู้ให้บริการไม่ใช่แพทย์ประจำคลินิก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า เครื่อง Pico Laser หรือ Picosecond Laser เป็นเครื่อง Laser ที่ทำงานโดยส่งคลื่นพลังงานความถี่สูง (1 ต่อล้านล้านวินาที) ไปยังผิวหนังเป้าหมายที่มีปัญหา เพื่อลดเม็ดสีในบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีคุณสมบัติเจาะจงกับเมลานินและเม็ดสีที่เข้มได้ดี โดยจะส่งการสั่นสะเทือนต่อผิวหนังอย่างรุนแรง ทำให้เม็ดสีหรืออนุภาคของผิวแตกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งเครื่องดังกล่าวมักใช้ในการรักษาจุดด่างดำ กระฝ้า เม็ดสีเข้ม ๆ ใต้ชั้นผิวหนัง หรือใช้ในการลบรอยสัก รวมถึงกระตุ้นคอลาเจนบนชั้นผิวหนัง เป็นต้น ทั้งนี้ การใช้เครื่องดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ผิวแห้ง แดง จากการโดนเลเซอร์ รอยคล้ำหลังทำเลเซอร์ ผื่น บวม รวมถึงรอยตกสะเก็ดหลังการใช้
ทั้งนี้ เครื่อง Pico Laser จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าต้องแจ้งรายการละเอียดกับ อย. ก่อน จึงจะสามารถผลิตหรือนำเข้าได้ โดยต้องใช้ในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตและต้องใช้โดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข หรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์หรือสาธารณสุข สำหรับผู้รับบริการควรตรวจสอบก่อนเข้ารับบริการว่าเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบเครื่อง Pico Laser ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th -
อย. ลดเอกสาร ผูก Certificate เน้นใช้เทคโนโลยีตรวจสอบการนำเข้า
อย. นำนโยบาย Speed &Safety เน้นความรวดเร็ว นำเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแบบมืออาชีพ แต่ยังคงดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภค ให้ได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า อย. มุ่งเน้นนโยบายอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งอาหาร ยา เครื่องสำอาง และเครื่องมือแพทย์ด้วยความรวดเร็วโดยเปิดช่องทางการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การยื่นขออนุญาตผ่านระบบ e-Submission การใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวออกสินค้า ณ ด่านอาหารและยา ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการติดต่อนำเข้า แต่ขณะเดียวกัน อย. ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพก่อนถึงมือผู้บริโภค โดยมีมาตรการกำกับดูแลกระบวนการนำเข้าให้เป็นไปตามกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาทิ การนำผลิตภัณฑ์อาหารเข้ามาเพื่อจำหน่าย ผู้นำเข้าทุกรายมีหน้าที่ต้องแสดงเอกสารหรือใบรับรองมาตรฐานระบบการผลิตอาหารฉบับจริงตามมาตรฐานที่เทียบเท่าหรือไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 420 หากเป็นสำเนาต้องผ่านการรับรองโดยหน่วยงานที่ออกใบรับรองนั้นหรือสถานฑูต รวมทั้ง อย. ยังมีการสุ่มผลิตภัณฑ์ส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพมาตรฐานด้วยสำหรับในปี 2566 อย. ได้มีการเฝ้าระวังส่งตรวจผลิตภัณฑ์อาหารนำเข้า จำนวน 559 รายการ ผ่านมาตรฐานจำนวน 549 ราย คิดเป็นร้อยละ 98.21 ตกมาตรฐานจำนวน 10 รายการ คิดเป็นร้อยละ 1.79
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย. พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการนำเข้าดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยปัจจุบันผู้ประกอบการสามารถนำใบรับรองมาผูกเข้ากับเลขสารบบอาหารที่นำเข้าได้ โดยไม่ต้องนำใบรับรอง (Certificate) ดังกล่าว ไปแสดงที่ด่านอาหารและยา นอกจากนี้ อย. ยังอยู่ในระหว่างการเร่งรัดพัฒนาระบบตรวจสอบลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเอกสารที่ยื่นผ่านระบบดิจิทัล เพื่อลดภาระขั้นตอนการนำใบรับรองมาแสดง ณ ด่านอาหารและยาทุกครั้งที่มีการนำเข้า ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กองด่านอาหารและยา https://logistics.fda.moph.go.th/ หรือ LineOfficial @import.fda -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กาวิสต้า GAVISTA Dietary Supplement Product
ผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ GAVISTA Dietary Supplement Product เลขสารบบอาหาร 25-1-20265-5-0009 ซึ่งแสดงข้อความ “แก้กรดไหลย้อน ด้วยสมุนไพร By GAVISTA” และ “ตัวช่วยในการแก้ปัญหา เหล่านี้ ลดอาการแน่น ขับลม จุก เสียดท้อง ช่วยในการย่อยอาหาร ลดลำไส้แปรปรวน รักษาแผลในกระเพาะ” เป็นการโฆษณา คุณประโยชน์ คุณภาพ ของอาหารอันเป็นเท็จโดยไม่สมควรซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมาย กับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป
-
อย. ปลูกความรู้ผู้ประกอบการ SMEs หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่เวทีโลก
อย. เปิดคอร์สเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการผลิตอาหารระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชน มุ่งส่งเสริมความรู้ให้สามารถผลิตอาหารที่มีความปลอดภัยตามหลักมาตรฐาน GMP รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันในเวทีโลก
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จัดอบรมโครงการสร้างเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ และเครือข่ายในงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหาร ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 - 11 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรม ทีเค. พาเลซ & คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการขออนุญาตผลิตภัณฑ์อาหารและการจัดเตรียมสถานที่ผลิตอาหารให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารรวมทั้งได้เผยแพร่คู่มือการอนุญาตสถานที่และผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถศึกษาด้วยตนเอง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย รวมทั้งผู้ประกอบการผลิตอาหารกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท น้ำบริโภค/น้ำแร่ธรรมชาติที่บรรจุในภาชนะพร้อมจำหน่าย และน้ำแข็งเพื่อการบริโภค ในระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชน นำองค์ความรู้ความเข้าใจในการขออนุญาตผลิตภัณฑ์ การจัดเตรียมสถานที่ผลิตให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ GMP และจัดทำฉลากได้อย่างถูกต้อง ไปประยุกต์ใช้ในการผลิตอาหาร เพื่อยกระดับสถานประกอบการให้สามารถผลิตอาหารที่มีความปลอดภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารและได้รับการอนุญาตตามกฎหมายซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสในการแข่งขันทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ ต่อยอดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนสนับสนุนการกระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่จะเกิดขึ้น โดยมีผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ และผู้ที่สนใจ เข้าร่วมอบรม จำนวน 367 ราย
การเพิ่มพูนศักยภาพครั้งนี้จะช่วยให้ประชาชนในประเทศและต่างประเทศได้บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความปลอดภัย และเกิดความมั่นใจในคุณภาพความปลอดภัยของอาหารที่ผลิตในประเทศไทย ขณะเดียวกันยังช่วยส่งเสริมให้ภาคธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว -
ความรู้ อย. ร้องเรียนยาย้อมผม รู้ผลแล้ว เกิดจากเหตุใด
อย. ย้ำ ผู้ใช้ยาย้อมผมหรือแชมพูปิดผมขาว ต้องปฏิบัติตามวิธีใช้และคำเตือนบนฉลากอย่างเคร่งครัด ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ เพราะการแพ้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
จากข่าวที่มีผู้ซื้อแชมพูปิดผมขาวจากร้านสะดวกซื้อมาใช้แล้วเกิดการแพ้จนหน้าบวมตาบวม ลืมตาไม่ขึ้น และได้เข้าร้องทุกข์กับ สคบ. นั้น เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเครื่องสำอางตามข่าว คือ ผลิตภัณฑ์ OK Herbal by M-Joy Color Care Shampoo Black เลขที่ใบรับจดแจ้ง 10-1-6100035525 ผลิตโดย บริษัท โมเดิรน์คาส อินเตอร์เนชั่นแนล คอสเมติคส์ จำกัด ครั้งที่ผลิต 02303-0050 วันที่ผลิต : 06-03-2023 หมดอายุ : 06-09-2025 เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบโรงงานได้มาตรฐาน ASEAN COSMETIC GMP ฉลากแสดงข้อความครบถ้วนถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ผลการตรวจวิเคราะห์รุ่นการผลิต (lot) ที่ผู้บริโภคแพ้และรุ่นการผลิตใกล้เคียง ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ไม่พบสารห้ามใช้และปริมาณของสีย้อมได้มาตรฐานตามที่จดแจ้งไว้ ผลิตภัณฑ์ข้างต้นถูกต้อง เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด มีความปลอดภัยในการใช้
ทั้งนี้ สารเคมีในยาย้อมผมอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ได้การแพ้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลจึงควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ โดยผสมผลิตภัณฑ์ตามที่ฉลากระบุและทาผลิตภัณฑ์ในปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณใต้ท้องแขนหรือหลังใบหู ทิ้งไว้ 24 - 48 ชั่วโมง หากเกิดความผิดปกติ เช่น ผื่นคัน ระคายเคือง ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ที่สำคัญ ต้องปฏิบัติตามวิธีใช้และคำเตือนที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในการใช้ผลิตภัณฑ์
หากผู้บริโภคพบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่สงสัยว่าจะไม่ปลอดภัยสามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วนอย.1556หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail :1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ แฮร์โกะ แฮร์ โทนิค (HAIRKO HAIR TONIC) เลขที่ใบรับจดแจ้ง 70-1-6400012105
การโฆษณาตามที่ปรากฏตรวจสอบพบข้อมูลการจดแจ้งเครื่องสำอางไว้ว่า ชื่อการค้า แฮร์โกะ (HAIRKO) ชื่อเครื่องสำอาง แฮร์ โทนิค (HAIR TONIC) เลขที่ใบรับจดแจ้ง 70-1-6400012105 วัตถุประสงค์ บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ ชนิดไม่ล้างออก ผู้รับจ้างผลิต คือ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์คอสเมติค จำกัด (มหาชน) ที่ตั้ง เลขที่ 48/1 หมู่ 5 ถนนหนองแช่เสา ตำบลน้ำพุ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี 70000 ผู้ว่าจ้างผลิต คือ บริษัท บางกอก ดรัก จำกัด ที่ตั้ง เลขที่ 874 ซอยอุรุพงษ์ 2 ถนนพระรามหก แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี จังหวัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งคู่มือแนวทางการโฆษณาเครื่องสำอาง กลุ่มเครื่องสำอาง บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ สามารถบรรยายสรรพคุณ “ทำให้ผมลื่น หวีง่ายลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผมที่มีสาเหตุจากเส้นผมพันกัน” เท่านั้น การกล่าวอ้างว่าช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผมใหม่ ลดผมร่วงรักษาผมบางสร้างผมใหม่ ลดอาการผมร่วง ผมบาง เร่งผมยาวเร็วขึ้น หนังศีรษะและเซลล์เส้นผมแข็งแรงขึ้น ลดผมหงอก ผมดกดำขึ้น มีผลงานวิจัยรับรองจาก ม.ขอนแก่น จึงทำให้เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ มีผลบำบัด บรรเทา รักษาผมร่วง ผมบาง ลดผมหงอก ให้ผมดกดำขึ้น ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริงและทำให้เข้าใจผิด ในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง
-
อย.ร่วมตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ลุย จัดระเบียบเข้มทั่วกรุงฯ รวบเครือข่ายร้านยา จับเภสัชเถื่อน 13 ราย ลักลอบขายยาแก้ไอให้วัยรุ่น
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก. ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., ว่าที่ พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ., นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา, ภก. วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติงาน กรณีจับกุมกวาดล้างร้านขายยาที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระดมตรวจค้นร้านขายยาทั่วกรุงเทพมหานคร จับกุมผู้ต้องหาที่ไม่ใช่เภสัชกร 13 ราย พร้อมยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกว่า 156 รายการ มูลค่าความเสียหายกว่า 1,400,000 บาท
พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับการร้องเรียนจากประชาชน และได้รับการประสานงานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ให้ตรวจสอบร้านขายยาที่มีพฤติการณ์ใช้พนักงานขายยาที่ไม่ใช่เภสัชกร ขายยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยาแคปซูลเขียวเหลืองให้กลุ่มวัยรุ่นเพื่อเป็นส่วนผสมยาเสพติดชนิด 4x100 อีกทั้งสภาเภสัชกรรมได้เคยประชุมหารือกับ กก.4 บก.ปคบ. และได้แถลงจุดยืนเน้นย้ำให้ร้านขายยาทุกร้านจะต้องมีเภสัชกรประจำโดยจะดำเนินการกับเภสัชกรแขวนป้าย จึงเป็นที่มาในการจัดระเบียบร้านขายยาในครั้งนี้
โดยในห้วงวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 - 9 สิงหาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เข้าตรวจสอบเครือข่ายร้านขายยาที่ทำผิดกฎหมายรายใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 14 จุด ได้แก่ 1. ร้านขายยาไทยฟาร์มาซี 5 สาขา, 2. ร้านคลินิกยา 4 สาขา, 3. ร้านพูนทรัพย์ฟาร์มาซี 2 สาขา, 4. ร้านขายยาพาดา เจริญเภสัช 2 สาขา และ 5. ร้านบ้านยาของขวัญ ตรวจยึดยาปลอม 572 ชิ้น, ยาไม่มีทะเบียน จำนวน 212 ชิ้น, ยาแก้ไอชนิดน้ำเชื่อม 24,722 ขวด, ยาเขียวเหลือง(ทรามาดอล) 4,150 แคปซูล และยาควบคุมพิเศษ จำนวน 21 กล่อง จับกุมผู้ต้องหาซึ่งไม่ใช่เภสัชกรและไม่มีความรู้ด้านเภสัชกรรม โดยผู้ต้องหา จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 ราย,มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 2 ราย และปริญญาตรี จำนวน 8 ราย รวมทั้งสิ้น 13 ราย ดำเนินคดีข้อหา “ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมฯ โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต”โดยผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับว่า รับจ้างเป็นพนักงานขายยาภายในร้านขายยาซึ่งอยู่ประจำร้านทุกวัน และจะมีเภสัชกรเข้ามาดูแลร้านเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 - 18,000 บาท
จากการสืบสวนขยายผลพบว่า ร้านขายยาดังกล่าวข้างต้นมีรูปแบบการกระทำความผิดในลักษณะที่เจ้าของผู้ดำเนินกิจการรายเดียว ยื่นขออนุญาตเปิดร้านขายยาหลายแห่ง เพื่อจะได้รับโควต้าในการซื้อยาแก้แพ้ ยาแก้ไอในปริมาณมาก ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวมีเจ้าของประกอบด้วย น.ส.อุมาพรฯ (สงวนนามสกุล) จำนวน 8 ร้าน, น.ส.วนิดา (สงวนนามสกุล) จำนวน 3 ร้าน, นายพัทธนนท์ (สงวนนามสกุล) จำนวน 2 ร้าน และ น.ส.นวรัตน์ จำนวน 1 ร้าน โดยสถานที่ตั้งร้าน จะเลือกทำเลอยู่ในแหล่งชุมชนหรืออพาร์ทเม้นท์ ซึ่งมีกลุ่มวัยรุ่นพักอาศัยอยู่มาก ทำให้สะดวกต่อการซื้อ ซึ่งร้านขายยาในชุมชน มีเจตนารมณ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาโรคและยาได้ง่ายขึ้น แต่ปัจจุบัน บรรดาผู้ประกอบการที่คิดแสวงหากำไรอาศัยช่องว่างทางกฎหมายโดยการขายยาบางประเภทผิดจากวัตถุประสงค์ โดยมุ่งเน้นจำหน่ายเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเพื่อนำมาผสมกับน้ำกระท่อมดื่มเพื่อความมึนเมาและเสพติดเป็นจำนวนมาก
กรณีผู้รับอนุญาตหรือผู้ดำเนินกิจการร้านขายยา(เจ้าของร้านขายยา) ที่ขออนุญาตเปิดร้านขายยาที่มียาปลอมและยาไม่มีทะเบียน โดยมีพฤติการณ์ขายยาแก้แพ้แก้ไอและยาเขียวเหลืองให้กับเยาวชน เบื้องต้นมีความผิดฐาน “ไม่จัดทำบัญชียาที่ซื้อและขายตามที่กำหนดฯ, ขายยาอันตรายในระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่, ขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา และขายยาปลอม” ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะได้เสนอคณะกรรมการยาพักใช้ใบอนุญาตต่อไป
เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1. พระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 มาตรา 28 ฐาน “เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทำการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510
สำหรับผู้รับอนุญาต
2.1 ฐาน “ไม่จัดทำบัญชียาที่ซื้อและขายตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ระวางโทษปรับ 2,000 - 10,000 บาท
2.2 ฐาน “ขายยาอันตรายในระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่” ระวางโทษปรับ 1,000 - 5,000 บาท
2.3 ฐาน “ขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.4 ในชั้นสอบสวน หากพบว่าเป็นยาปลอมจะมีความผิด ฐาน “ขายยาปลอม” ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 20 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 - 10,000 บาท
สำหรับผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ(เภสัชกร) มีความผิดฐาน “ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาทำการ รวมถึงไม่ควบคุมการขายยา ควบคุมการส่งมอบยา อันตราย และควบคุมการทำบัญชีซื้อและขายยาตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” ระวางโทษปรับตั้งแต่ 1,000 – 5,000 บาท
พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว รอง ผบก.ปคบ. กล่าวว่าจากการตรวจสอบในครั้งนี้พบ ยาไม่มีทะเบียน และยาปลอม ซึ่งทางตำรวจเฝ้าระวังและจะขยายผล ถึงต้นตอของยาไม่มีทะเบียน และยาปลอมที่ตรวจพบในร้านขายยา ต่อไป ทั้งนี้ขอความร่วมมือร้านขายยาทั้งหลายให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และร้านที่ไม่ได้รับอนุญาตจะดำเนินการกวาดล้างต่อไป และฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่าว่ายาคือหนึ่งในปัจจัยสี่ ที่ใช้เพื่อรักษาโรคหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้อย่างถูกวิธีและได้รับคำแนะนำในการใช้อย่างละเอียด จากผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม โดยเฉพาะยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษซึ่งจะต้องใช้อย่างระมัดระวังตามใบสั่งของแพทย์ เท่านั้น หากพี่น้องประชาชนพบเห็นร้านขายยาใดมีพฤติกรรมในการใช้พนักงานขายยาที่ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือการกระทำความผิดกฎหมายในลักษณะอื่นใดสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ปคบ.1135 หรือ เพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภคได้ตลอดเวลา
ภก. วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวน ขยายผล ตรวจสอบเครือข่ายร้านขายยากลุ่มเสี่ยง ที่มีพฤติการณ์ขายยาแก้แพ้ แก้ไอ และยาแก้ปวดทรามาดอลให้แก่กลุ่มเยาวชนจนสามารถตรวจยึดยาจำนวนมาก
ปัจจุบัน อย. มีมาตรการกำกับดูแลการจำหน่ายยากลุ่มเสี่ยงตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่การผลิต/นำเข้า การขายให้ร้านขายยา ตลอดจนการจ่ายยาให้ผู้ป่วย กรณีตรวจพบการซื้อขายยาในทางที่ผิด นอกจากจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ยังถูกพักใช้ใบอนุญาตเป็นเวลา 120 วัน หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตด้วย ตั้งแต่ปี 2561 – ปัจจุบัน มีร้านขายยาที่ถูกพักใช้ใบอนุญาตไปแล้วกว่า 78 ร้าน, โรงงานผลิตยาถูกพักใช้ใบอนุญาต 2 แห่ง และบริษัทขายส่งยาถูกเพิกถอนใบอนุญาต 1 แห่ง สำหรับเภสัชกรที่ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาทำการ หรือไม่ควบคุมการจัดทำบัญชีซื้อและขายยาโดยเฉพาะยาอันตรายกลุ่มเสี่ยง อย. จะดำเนินคดีตามกฎหมายและส่งเรื่องให้สภาเภสัชกรรมพิจารณาจรรยาบรรณต่อไป ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบร้านขายยาที่มีพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้น สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th, Line: @FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
ภก.ปรีชา พันธุ์ติเวช อุปนายกสภาเภสัชกรรมคนที่ 2 กล่าวว่า ปัจจุบันยังพบว่ามีการจับกุมร้านขายยาที่ลักลอบขายยาแก้ไอ, ยาทรามาดอลให้กับเยาวชนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เอาไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อการเสพติด และผู้ขายยาก็ไม่ใช่เป็นผู้มีความรู้เรื่องยาโดยตรง ซึ่งก็จะมีความผิดทั้งใน พรบ.ยา พ.ศ.2510 คือขายยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ ระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่ แม้อาจจะมีเพียงโทษปรับก็ตาม แต่ลักษณะการขายยาดังกล่าว จะเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2537 ด้วย คือ ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม (การขายยา) โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะมีโทษสูง ปรับ 30,000 บาท หรือจำคุก 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งผู้ที่แอบจ่ายยาโดยไม่ใช่เภสัชกร จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ และกรณีนี้เภสัชกรที่เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในร้านต่าง ๆ เหล่านี้ หากไม่ได้อยู่ปฏิบัติการตลอดเวลาที่เปิดทำการ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ขายยากลุ่มเสี่ยงดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่เภสัชกรในฐานะผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการได้มีการควบคุมกำกับเกี่ยวกับการขายยา การส่งมอบยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษ ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ หรือมีการปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลไม่ให้มีการขายยาอันตราย ยาควบคุมพิเศษระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่หรือไม่อย่างไร หรืออาจเข้าข่ายการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมโดยผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นความผิดทางจรรยาบรรณได้ โดยมีโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม เป็นระยะเวลา 2 ปี ดังนั้นจึงขอให้เภสัชกรที่ไม่ได้อยู่ประจำตลอดเวลาต้องระมัดระวัง และสอดส่องกำกับดูแลให้มีการขายยาให้ถูกต้องตามที่ พรบ.ยา พ.ศ.2510 กำหนด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ยา แนะนำให้ประชาชน เลือกเข้าร้านยาที่มีเภสัชกรปฏิบัติหน้าที่ อย่าปรึกษาเรื่องยา หรือซื้อยากับ บุคคลที่ไม่ใช่เภสัชกร เภสัชกรในร้านยาจะใส่ชุดสีขาว มีตรา สภาเภสัชกรรม ประชาชน สามารถ Load Application ร้านยาของฉัน ใน Play store หรือ App store เพื่อดูว่า ร้านยาใกล้บ้านฉันอยู่ที่ไหน และร้านยาใด มีเภสัชกร พร้อมให้บริการ ให้เลือกเข้าร้านยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้ให้คำปรึกษาและแนะนำยา เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของประชาชน
-
อย. เปิดช่องทางอนุญาตผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพิ่มขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
อย. เปิดช่องทางอนุญาตผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพิ่มขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
อย. พร้อมสนับสนุนการประกอบการด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและนวัตกรรม โดยทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการยกระดับความรู้ ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบให้กับนักวิจัย นักพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพในประเทศที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบและหลักเกณฑ์ให้ทันสมัยเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ อีกทั้งมีบริการวินิจฉัยประเภทผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สามารถดำเนินการขออนุญาตผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านวิชาการ กฎระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อปฏิบัติที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและนวัตกรรม แก่ผู้ประกอบการ นักวิจัย และหน่วยงานให้ทุนวิจัย ตลอดกระบวนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผ่านระบบให้คำปรึกษาออนไลน์(e-Consult) โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2566 มีคำขอรับคำปรึกษาและคำขอรับการวินิจฉัยในระบบ e-Consult มากถึง 4,892 คำขอ แบ่งเป็นคำขอรับการวินิจฉัยประเภทผลิตภัณฑ์สุขภาพกว่า 3,236 คำขอ และคำขอรับคำปรึกษาผลิตภัณฑ์สุขภาพกว่า 1,656 คำขอ
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า อย. พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรมในประเทศ โดยได้สร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เช่น อุทยานวิทยาศาสตร์ หน่วยงานให้ทุน มหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีเป็นผู้ผลิตหรือนักวิจัยในประเทศ ที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรมและมีระดับความพร้อมของเทคโนโลยี (Technology readiness level; TRL) อยู่ในระดับ 3 เป็นอย่างน้อยหรือมีผลิตภัณฑ์ต้นแบบแล้วสามารถยื่นข้อมูลนักวิจัย รายละเอียดงานวิจัย โครงการวิจัย สถานการณ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน แผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมุ่งหวังให้ผลิตภัณฑ์ที่วิจัยพัฒนาในประเทศออกสู่ท้องตลาดได้อย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้กับสินค้ากลุ่มนวัตกรรมสุขภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
-
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดจากใบแปะก๊วยชนิดแคปซูล ตรา มิสเตอร์โกลด์
ผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดจากใบแปะก๊วยชนิดแคปซูล ตรา มิสเตอร์โกลด์) ซึ่งแสดงข้อความ “MRGOLD แม่ผมปวดขา กินมิสเตอร์โกลด์ 2 วัน เห็นผลหาย ลุกตีลังกา ยาดีบอกต่อ “กินมาแล้ว 4-5 กล่อง ดีขึ้นมาก อาการปวดข้อนิ้ว ไม่ปวดแล้ว” และ “สั่งมาทาน 4 กล่อง 888 บาท หายปวดเข่าแล้ว” เป็นการโฆษณา คุณประโยชน์ คุณภาพ ของอาหารอันเป็นเท็จโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป..... -
อย. ร่วมขับเคลื่อนเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า เพื่อแก้ปัญหาขาดสารไอโอดีน
อย. สุ่มตรวจคุณภาพเกลือบริโภคเสริมไอโอดีน หวังให้คนไทยได้รับไอโอดีนที่เพียงพอและเหมาะสม ช่วยลดปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนของประเทศไทย พร้อมแนะผู้บริโภคเลือกซื้อเกลือเสริมไอโอดีน ให้ดูฉลากและมีเลข อย.
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อขจัดโรคขาดสารไอโอดีนในประเทศไทย โดยเฝ้าระวังเกลือและผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่เสริมไอโอดีนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพบเกลือบริโภคมากกว่าร้อยละ 90 มีคุณภาพมาตรฐานและปริมาณไอโอดีนสอดคล้องตามข้อกำหนดของกฎหมาย ซึ่งผ่านคุณภาพมาตรฐานมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดย อย. ร่วมกับภาครัฐ อาทิ กรมอนามัย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ติดตามเฝ้าระวังปริมาณไอโอดีนในเกลือบริโภคที่เสริมไอโอดีนทั้งสถานที่ผลิต สถานที่จำหน่าย และในครัวเรือน และร่วมกับภาคเอกชน ได้แก่ ชมรมผู้ประกอบการเกลือเสริมไอโอดีนทั้งสามภาค (ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ) ผู้ประกอบการอาหาร ในการควบคุมคุณภาพการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ยังได้รับความอนุเคราะห์จากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการศึกษาวิจัยสนับสนุนและเพิ่มศักยภาพการตรวจวิเคราะห์ปริมาณไอโอดีนของแต่ละห้องปฏิบัติการในประเทศไทยให้มีความแม่นยำ แม่นตรง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป้าหมายสำคัญคือ มุ่งหวังให้คนไทยได้รับไอโอดีนเพียงพอและเหมาะสม ทั้งนี้ ปริมาณไอโอดีนที่ต้องการต่อวัน สำหรับทารกและเด็กอายุไม่เกิน 5 ปี ประมาณ 90 ไมโครกรัม เด็กอายุ 6-12 ปี ประมาณ 120 ไมโครกรัม ผู้ใหญ่ทั่วไป ประมาณ 150 ไมโครกรัม และหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ประมาณ 200 ไมโครกรัมต่อวัน
“ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อและใช้เกลือเสริมไอโอดีน หรือผลิตภัณฑ์ปรุงรสเสริมไอโอดีน โดยดูได้จากฉลากผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “เสริมไอโอดีน” ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลข อย. ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการตรวจสอบทั้งสถานที่ผลิตและผลิตภัณฑ์ว่ามีคุณภาพมาตรฐานเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด รองเลขาธิการฯ กล่าวในที่สุด” -
อย. เตือน รีวิวผลิตภัณฑ์อาหาร ต้องได้รับอนุญาตก่อนโฆษณา
อย. พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ในกรณีที่มีผู้เขียนรีวิวเชิญชวนให้กินแล้วอ้างว่าหายจากโรคปวดตา ตาพร่ามัว และช่วยบำรุงสายตา ขอเตือนว่าอาหารไม่ใช่ยา รักษาโรคไม่ได้และการโฆษณาอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษตามกฎหมาย
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการตรวจพบการรีวิวผลิตภัณฑ์อาหารทางสื่อออนไลน์มากมาย ที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอแจ้งว่าการรีวิวข้อมูลเกี่ยวกับคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารเพื่อประโยชน์ทางการค้า เข้าข่ายเป็นการโฆษณาที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนโฆษณา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะโฆษณาได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และหากข้อความที่รีวิว หรือโฆษณานั้นเป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริง หรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อการรีวิว หรือโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารที่โอ้อวด เป็นเท็จเกินจริง ผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่ยา ไม่สามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรคต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ อย. ได้จัดทำหลักเกณฑ์การโฆษณาอาหาร พ.ศ. 2564 โดยระบุคำที่ไม่อนุญาตโฆษณา ซึ่งประชาชนสามารถศึกษารายละเอียดได้ตาม QR code นี้
หากมีข้อสงสัย หรือพบการกระทำฝ่าฝืน แจ้งเบาะแส หรือร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือช่องทางอื่น ๆ เช่น อีเมล์ 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ.1556 ปณผ. กระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คลอเรลล่า วีทกราส แอนด์ อัลฟัลฟา พลัส(ตรา เอ็นบี)
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คลอเรลล่า วีทกราส แอนด์ อัลฟัลฟา พลัส (ตรา เอ็นบี) Chlorella Wheatgrass & Alfalfa Plus Dietary Supplement Product (NB Brand) เลขอย. 13-303555-2-0041 ซึ่งการแสดงภาพผลิตภัณฑ์ และข้อความ “Chlorella Wheatgrass & Alfafa Plus ดีท็อกซ์ระบบเลือด ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด ลดอาการอักเสบของข้อ ช่วยสมานแผล ให้หายเร็วขึ้น” เป็นการโฆษณา คุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการ ฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป.... -
อย. บูรณาการหลายหน่วยงาน ลดบริโภคเกลือและโซเดียม เพื่อลดโรค
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า โรคที่เกิดจากความเค็มเป็นอันตราย เพื่อลดการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังจากการได้รับโซเดียมมากเกินความจำเป็น ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มระดับความดันโลหิต นำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรัง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานในการลดเค็มลดโรค โดยสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ให้ประชาชนเกิดความตระหนัก สร้างกระแสให้สังคมไทยรู้เท่าทัน เลือกบริโภคอาหารที่มีโซเดียมต่ำ หรือโซเดียมน้อยลง ผ่านการรณรงค์ให้เลือกซื้อและบริโภคอาหารโดยอ่านฉลากโภชนาการ ฉลากจีดีเอ (GDA) และสัญลักษณ์โภชนาการอย่างง่าย “ทางเลือกสุขภาพ” (Healthier Choice Logo) และส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงอาหารที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ” ด้วย ทั้งนี้ ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาคีที่มีมาตรการขับเคลื่อนต่างๆ เพื่อลดการบริโภคเค็ม เช่น แผนดำเนินการมาตรการทางภาษีของกรมสรรพสามิต ที่จะจัดเก็บภาษีในกลุ่มอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น กลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป โจ๊ก/ข้าวต้ม และกลุ่มขนมขบเคี้ยว การขับเคลื่อน (ร่าง) พระราชบัญญัติควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ของกรมอนามัย มาตรการส่งเสริมอาหารและอาหารท้องถิ่นที่มีปริมาณโซเดียมต่ำของกรมควบคุมโรค -
อย. เตือน อย่าซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. แนะตรวจสอบข้อมูลก่อนซื้อ
อย. ตรวจพบผลิตภัณฑ์สมุนไพรผู้เฒ่าวิ่งปู๊ดแคปซูล ยาผงจินดามณี และสมุนไพรไทยมีรูปรากไม้ ไม่ได้รับอนุญาตผลิตภัณฑ์จาก อย. และพบสารสเตียรอยด์ปลอมปนในผลิตภัณฑ์ยาผงจินดามณี เตือนผู้บริโภคอย่าซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้ง 3 รายการ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือส่งผลกระทบต่อการรักษาอาการเจ็บป่วย แนะผู้บริโภคตรวจสอบข้อมูลการขออนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพทางเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th ก่อน
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคให้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพรผู้เฒ่าวิ่งปู๊ดแคปซูลไม่ได้รับอนุญาตโฆษณาขายทางแพลทฟอร์มออนไลน์ อย. ได้เร่งตรวจสอบ เบื้องต้นพบจำหน่ายในจังหวัดพิษณุโลก จึงได้ประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกเข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว โดยพบผลิตภัณฑ์สมุนไพรผู้เฒ่าวิ่งปู๊ดแคปซูล สูตรกระจายเส้น เอ็นยึด จำนวน 26 ซอง ยาผงจินดามณี จำนวน 55 ซอง และสมุนไพรไทยมีรูปรากไม้ จำนวน 39 ซอง ทั้งนี้ จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รายการ ไม่พบข้อมูลการอนุญาตผลิตภัณฑ์จาก อย. และฉลากผลิตภัณฑ์ไม่มีการแสดงเลขทะเบียน อีกทั้งยังพบสารสเตียรอยด์ปลอมปนในผลิตภัณฑ์ยาผงจินดามณี ด้วยเหตุนี้ อย. จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั้ง 3 รายการ ดังกล่าวมาใช้ เพราะอาจเกิดผลเสียต่อร่างกาย เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจส่งผลกระทบต่อการรักษาอาการเจ็บป่วยได้
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า อย. แนะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลการขออนุญาตผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th หรือผ่าน Line@FDAThai หรือหากพบผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ อย. พร้อมเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเคร่งครัด -
อย. แนะชุดตรวจ HIV SELF TEST ใช้สำหรับคัดกรองเบื้องต้น
อย. แนะชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองใช้สำหรับคัดกรองการติดเชื้อเบื้องต้นเท่านั้น เพื่อให้ทราบสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างรวดเร็ว ผู้มีความเสี่ยงต้องเข้ารับการตรวจยืนยันและรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 โดยลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เหลือปีละไม่เกิน 1,000 ราย ด้วยเหตุนี้ เครื่องมือที่ช่วยให้ประชาชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสามารถทราบสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างรวดเร็ว คือ การใช้ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-testing) อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองเป็นเพียงชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อในเบื้องต้นเท่านั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงต้องเข้ารับการตรวจยืนยันผลที่สถานพยาบาล เพื่อเข้าสู่ระบบการป้องกันและรักษาที่รวดเร็ว
สำหรับชุดตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเองจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องได้รับอนุญาตจาก อย.ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อและใช้ด้วยตนเองได้ ซึ่งในปัจจุบัน อย. ได้อนุญาตชุดตรวจที่เกี่ยวข้องกับการตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง จำนวน 4 ทะเบียน โดยแบ่งเป็นผู้ผลิต 2 ทะเบียน และผู้นำเข้า 2 ทะเบียน ทั้งนี้ ชุดตรวจฯ ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย. จะมีการตรวจสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบจัดการคุณภาพสำหรับเครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐาน ISO 13485 หรือ GMP ผลการทดสอบจากผู้ผลิตและผลการทดสอบที่ส่งทดสอบประเมินคุณภาพโดยห้องปฏิบัติการ ผลการทดสอบการศึกษาการใช้งาน (usability test) ที่ทำการศึกษาในประเทศไทย การแสดงฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ซึ่งต้องจัดทำเป็นภาษาไทย พร้อมทั้งมีเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลที่ผู้ใช้งานควรรู้ ทั้งก่อนการตรวจและภายหลังทราบผลการตรวจ
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีมีการกล่าวอ้างว่า "ชุดตรวจที่ตรวจจากเลือดเจาะปลายนิ้ว รู้ผลภายใน 1 นาที และชุดตรวจที่ตรวจจากน้ำในช่องปาก รู้ผลภายใน 20 นาที" ผู้ใช้ควรทำความเข้าใจและศึกษาเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์อย่างละเอียดก่อนใช้งานทุกครั้ง ที่สำคัญ ขอให้ผู้บริโภคเลือกใช้ชุดตรวจฯ ที่ผ่านการอนุมัติจาก อย. เท่านั้น เพราะได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
-
อย. ตรวจพบปริมาณแคดเมียมเกินมาตรฐาน ในผลิตภัณฑ์ปลาหมึกกล้วยต้มหั่นแช่แข็ง รุ่นการผลิตที่ 026/2023 วันผลิต 06/01/2023 วันหมดอายุ 06/01/2025
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร ณ ด่านอาหารและยาท่าเรือกรุงเทพ นำเข้าโดย บริษัท วายเอเจ เทรด ทราน จำกัด โดยมีรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ “ผลิตภัณฑ์ปลาหมึกกล้วยต้มหั่นแช่แข็ง (FROZEN COOKED SQUID SLICES (GRADE B))”ผลิตโดย FUJIAN HUAXIAN AQUATIC SEAFOOD CO., LTD สาธารณรัฐประชาชนจีน รุ่นการผลิตที่ 026/2023 วันผลิต 06/01/2023 และวันหมดอายุ 06/01/2025 น้ำหนักสุทธิ 12.5 กิโลกรัมต่อกล่อง ผลการตรวจวิเคราะห์ทางวิชาการ จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบแคดเมียม 4.07 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ต้องไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) ซึ่งเข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์และอาหารผิดมาตรฐานตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
ข้อแนะนำ
ขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังอย่าซื้อ “ผลิตภัณฑ์ปลาหมึกกล้วยต้มหั่นแช่แข็ง” ที่ฉลากระบุรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นมารับประทาน หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. แจง แป้งฝุ่นที่ขายในไทยปลอดภัย ไร้การปนเปื้อนแร่ใยหิน ขอผู้บริโภควางใจ
อย. ยัน “แป้งฝุ่นเด็ก” ที่จำหน่ายในประเทศไทยไม่มีการปนเปื้อน “แร่ใยหิน” มีการเฝ้าระวังตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวดสม่ำเสมอ ขอผู้บริโภควางใจ
จากข่าวต่างประเทศที่มีผู้ฟ้องร้องบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กรณีใช้แป้งฝุ่นเด็กของบริษัทแล้วเป็นมะเร็งบริเวณเนื้อเยื่อรอบหัวใจสาเหตุจากในแป้งมีแร่ใยหินปนเปื้อน และคณะลูกขุนของรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสั่งให้บริษัทจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องร้องนั้น เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้ให้รายละเอียดในเรื่องนี้ว่า แป้งฝุ่นโรยตัวเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบหลัก คือ ทัลคัม (Talcum) เป็นแร่ธาตุที่พบได้ตามธรรมชาติ ช่วยดูดซับความชื้น ให้ความรู้สึกสบาย นุ่มลื่นผิว ทัลคัมที่นำมาใช้ในเครื่องสำอางต้องมีความบริสุทธิ์สูง ไม่มีการปนเปื้อนของแร่ใยหิน (Asbestos) เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ปัจจุบันทัลคัมยังคงเป็นสารที่ปลอดภัย สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ติดตามเฝ้าระวังความปลอดภัยของแป้งฝุ่นโรยตัว มาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบัน ได้เก็บตัวอย่างแป้งฝุ่นโรยตัวที่มีส่วนผสมของทัลคัมหลายยี่ห้อ รวมทั้งยี่ห้อจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน รวมจำนวน 158 ตัวอย่าง ผลการตรวจวิเคราะห์ทุกรายการไม่พบการปนเปื้อนแร่ใยหิน ขอผู้บริโภควางใจแป้งฝุ่นเด็กที่ขายในไทย มีความปลอดภัย ไร้การปนเปื้อนแร่ใยหิน
สำหรับคำแนะนำ ในการใช้แป้งฝุ่นโรยตัว ไม่ควรใช้ในปริมาณมาก เพราะผงแป้งจะฟุ้งกระจาย หากสูดดมเข้าไปอาจทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจ นอกจากนี้ กฎหมายได้กำหนดให้แสดงคำเตือนที่ฉลากของแป้งฝุ่น สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ว่า “ระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูกและปากของเด็ก” หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line @FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มณฑา เลขอย. 50-1-052585-0406 และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอัคคี เลขอย. 50-1-05258-5-0404
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ มณฑา (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) Montha (Dietary Supplement Product) เลขอย. 50-1-052585-0406 และอัคคี Aukkee (Dietary Supplement Product) เลขอย. 50-1-05258-5-0404 ซึ่งการแสดงภาพผลิตภัณฑ์ และข้อความ “ “มณฑา” ช่วยเรื่อง ลดความดันสูง ขยายหลอดเลือดหัวใจ และสมอง” “ “อัคคี ช่วยเรื่อง ขับไขมันในร่างกาย ไขมันอุดตันในหัวใจ ไขมันในเลือด” และ “ทานคู่กันสามารถป้องกัน เส้นเลือดตีบ แขนขาอ่อนแรง และเป็นยาอายุวัฒนะ” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป........... -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์สมุนไพร “แผ่นแปะลดน้ำหนัก เผาผลาญไขมัน”
ผลิตภัณฑ์สมุนไพร “แผ่นแปะลดน้ำหนัก เผาผลาญไขมัน” ตามที่ปรากฏดังกล่าวแล้วพบว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรส่วนประกอบของสมุนไพร โดยมีการกล่าวอ้างสรรพคุณ คือ “ใช้สำหรับลดน้ำหนัก ช่วยเผาผลาญไขมัน” ซึ่งจากการสืบค้นในระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยาแล้ว ไม่พบปรากฏผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวนี้
-
อย. เข้ม มาตรการกำกับดูแลนมและผลิตภัณฑ์
อย. กำกับดูแล นม และผลิตภัณฑ์นม อย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า นมและผลิตภัณฑ์ของนม เป็นอาหารที่มีผู้นิยมบริโภคเป็นวงกว้างและเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงกำกับดูแลนม และผลิตภัณฑ์ของนมอย่างเข้มงวด และเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพมาตรฐานเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ผลการเฝ้าระวัง ในปี พ.ศ. 2565 พบผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน ร้อยละ 97.30 ตกมาตรฐาน ร้อยละ 2.70 และปี พ.ศ. 2566 พบผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน ร้อยละ 97.06 ตกมาตรฐาน ร้อยละ 2.94 ตามลำดับ หากพบผลิตภัณฑ์ตกมาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร ฉลากระบุ “นมข้นแปลงไขมันหวาน ตรา พาเลซโกลด์ เลขสารบบอาหาร 10-1-21045-1-0004 ควรบริโภคก่อน BBF: 23/05/2023 ...” ตรวจพบจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค Staphylococcus aureus 19,000 CFU/กรัม และแบคทีเรีย 21,000 CFU/กรัม และมีปริมาณสารอาหารน้อยกว่าที่มาตรฐานกำหนดไว้ ซึ่ง อย. ได้ดำเนินการ ได้แก่ 1. ออกคำสั่งให้งดผลิตนมข้นแปลงไขมันหวานดังกล่าวจนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขให้เป็นตามมาตรฐาน 2. ติดตามตรวจสอบสถานที่ผลิตอาหารและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจวิเคราะห์ซ้ำ และ 3. ดำเนินคดีกับผู้ผลิตอาหารดังกล่าว
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า อย. มีการดำเนินการเฝ้าระวังและติดตามผลอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ทั้งนี้ หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามหรือแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 หรือ ผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ. นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ OVISURE GOLD
ผลิตภัณฑ์ฉลากระบุ OVISURE GOLD ซึ่งแสดงภาพผลิตภัณฑ์ และข้อความ เช่น “บรรเทาอาการปวดข้อ ปวดไหล่ อาการเหน็บชา ป้องกันความเสื่อมและโรคกระดูกพรุน ฟื้นฟูข้อต่อ และเสริมสร้างกระดูกอ่อน เสริมสร้าง ภูมิต้านทาน” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต และแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงให้เกิดความ หลงเชื่อโดยไม่สมควรซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป
-
อย. จัดติวเข้มกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก ผู้พิชิตรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ปี 66 เสริมกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่ง
วันนี้ (11 กรกฎาคม 2566) นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เป็นประธานเปิดการประชุม โครงการส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพกลุ่มผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานราก “ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ดี มาพิชิตรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2566” โดยมีผู้ประกอบการเศรษฐกิจฐานรากที่ได้รับรางวัล อย.ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2566 เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความสำเร็จที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับรางวัล อย.ควอลิตี้อวอร์ด ประจำปี 2566 และเพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณาด้านสถานที่และผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการใช้ตราสัญลักษณ์ อย.ควอลิตี้ อวอร์ด บนฉลากผลิตภัณฑ์ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการฯ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายในการนำสุขภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย.จึงได้มุ่งมั่นในการส่งเสริม ยกระดับมาตรฐานการผลิตของผู้ประกอบการทั้งระดับใหญ่และระดับชุมชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของผู้ประกอบการสู่ระดับสากล รางวัล "อย. ควอลิตี้ อวอร์ด" เป็นรางวัลแห่งคุณค่าและความภาคภูมิใจที่ อย. มอบให้แก่ผู้ประกอบการที่มีความตั้งใจในการพัฒนาสถานที่ผลิตและผลิตภัณฑ์ของตนให้มีคุณภาพมาตรฐาน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค มีธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากสามารถประกอบการได้อย่างเข้มแข็ง จะช่วยให้เศรษฐกิจและประเทศชาติแข็งแรงในที่สุด
-
อย. เผย “แอสพาร์เทม” ยังคงมีความปลอดภัย ใช้ได้ตามเงื่อนไขที่ อย.อนุญาต
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่าอย. มีการตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยการใช้สารแอสพาร์เทม ตามรูปแบบการบริโภคของประชากรไทย โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล (โคเด็กซ์) และปรับเงื่อนไขการอนุญาตให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ของไทย อีกทั้ง อย.มีการเฝ้าระวังโดยสุ่มตรวจสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในอาหารตั้งแต่ปี 63 ซึ่งยังไม่พบปัญหาแต่อย่างใด จึงขอให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ อย.อนุญาต และกำกับดูแลการใช้ให้เป็นไปตามประกาศ สธ. มีความปลอดภัย
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายเพื่อแนะนำผู้บริโภคว่า ควรเลือกบริโภคอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการได้รับสารแอสพาร์เทมที่มากเกินไป รวมถึงควรระวังในผู้บริโภคบางกลุ่มโดยให้อ่านฉลากอาหารที่มีการใช้แอสพาร์เทม ซึ่งจะมีข้อความระบุ “สารให้ความหวาน (แอสพาร์เทม)” หรือ “วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล (แอสพาร์เทม)” และสำหรับผู้ที่มีสภาวะฟินิลคีโตนูเรีย ควรหลีกเลี่ยง
-
ความรู้ อย. เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ หรืออินฟลูเอนซา (Influenza virus) เป็นโรคที่ทุกคนทั่วไปน่ารู้จักกันเป็นอย่างดี แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ กลุ่ม A, กลุ่ม B และ กลุ่ม C โดยที่กลุ่ม A และ กลุ่ม B เป็นเชื้อก่อโรคที่มักพบได้บ่อยมากที่สุด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ มีไข้สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และปวดเมื่อยตามร่างกายได้ โดยอาการจะแตกต่างกันตามอายุของผู้ป่วย ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน จนอาจทำให้เสียชีวิตได้
บุคคลที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งหากได้รับเชื้อแล้วอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ได้แก่
- เด็กเล็กอายุระหว่าง 6 เดือน – 5 ปี ขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังต่าง ๆ
- บุคลากรทางการแพทย์
การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับการยอมรับในทางการแพทย์ว่า มีประสิทธิภาพที่ดีเพราะนอกจากจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้แล้วยังสามารถลดอาการรุนแรงของโรคและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย โดยจะฉีดให้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงเป็นหลัก ซึ่งควรได้รับการฉีดวัคซีนทุกปี วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะถูกพัฒนาให้สอดคล้องกับสายพันธุ์ที่ระบาดในแต่ละปี ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก
ข้อห้ามในการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- ผู้ที่มีประวัติแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่หรือแพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
- เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือน
- ผู้ป่วยที่เป็นหรือมีประวัติเคยเป็นโรค Guillain-Barré Syndrome ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่
- ผู้ที่มีอาการป่วยถึงขั้นรุนแรง ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปก่อน
คำแนะนำ
เนื่องจากการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ 100% ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือใกล้ชิดผู้ป่วย หากจำเป็นควรสวมหน้ากากอนามัย ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆ -
อย. แจง “สารอะนิลีน” ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตรวจสอบแล้วไม่พบการจดแจ้งในไทย
หลังมีข่าวยึดสารอะนิลีนกว่า 5 แสนกิโลกรัมที่เตรียมส่งไป สปป.ลาว เพื่อผลิตเป็นเครื่องสำอาง อย. แจง สารดังกล่าวเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ในปัจจุบันยังไม่พบเครื่องสำอางที่จดแจ้งผลิตหรือนำเข้ามาขายในประเทศไทยที่มีส่วนผสมของสารอะนิลีน
จากข่าวการยึดสารอะนิลีนกว่า 5 แสนกิโลกรัมที่ท่าเรือแหลมฉบัง เตรียมส่ง สปป. ลาว เพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องสำอางนั้น เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า สารอะนิลีน (ANILINE) CAS No. 62-53-3 จัดเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ในทางอุตสาหกรรมชนิดที่ 3 ในการกำกับดูแลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งสหภาพยุโรป (EU) และกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงประเทศไทยและ สปป. ลาว ได้มีการกำหนดให้สารดังกล่าวเป็นสารที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เนื่องจากเป็นสารก่อมะเร็ง และจากการตรวจสอบไม่พบเครื่องสำอางที่จดแจ้งผลิตหรือนำเข้าที่มีส่วนผสมของสาร
อะนิลีนในประเทศไทย
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เครื่อง iTeraCare
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เครื่อง iTeraCare
อย.ตรวจสอบแล้ว " ไม่พบการขออนุญาตผลิตหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์ ดังกล่าว (ผิดกฎหมาย) " เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ อาจเสียเงินเปล่าและเสียโอกาสในการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง -
อย. พร้อมสนับสนุนและให้คำปรึกษา ชูชาไทยสู่ชาโลก
อย. พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการชา และให้คำปรึกษาให้สถานที่ผลิตได้มาตรฐาน และขออนุญาตอย่างถูกต้อง นำชาไทยสู่ชาโลก
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ส่งเสริมการพัฒนาชาไทยสู่ชาโลก โดยเข้าร่วมกิจกรรมให้ความรู้เรื่องการขออนุญาตร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ในงานประชุมเครือข่ายชาและกาแฟ ประจำปี 2566 (Tea & Coffee fest 2023) ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา และตามที่กลุ่มผู้พิการทางสายตา sensory intelligence group (SIG) ซึ่งมีความสามารถในการรับรู้รสและกลิ่นได้ดี ได้คิดค้นชาอู่หลง/ชาแดง จากดอยแม่สลอง ออกแบบรสชาติ “ชาสมุนไพรประจำวัน Sence Series” และอยู่ระหว่างขออนุญาตจาก อย. นั้น ขอชี้แจงว่า อย. ส่วนกลาง และ อย. จังหวัด ได้ให้คำปรึกษาแนะนำในการขออนุญาตเลขสารบบอาหารแล้ว ขณะนี้ ยังไม่พบการขออนุญาต อย. อย่างไรก็ตาม อย.จังหวัดพร้อมรับการยื่นคำขอตรวจประเมินสถานที่ผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์ GMP กฎหมาย และคำขอรับเลขสารบบประเภทชาจากพืช ซึ่งผู้ประกอบการสามารถดำเนินการยื่นขออนุญาตได้ทันที
ปัจจุบัน อย.ได้เพิ่มช่องทางการให้บริการแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e - Submission) ทางเว็บไซด์ https://privus.fda.moph.go.th เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการขออนุญาตทางระบบออนไลน์ได้ ทุกที่ ทุกเวลา และสามารถศึกษาข้อมูลการขออนุญาตทางเว็บไซด์ https://food.fda.moph.go.th/public-information/category/guide-for-applying-for-permission ทั้งนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตได้ที่ อย. เบอร์โทร. 0-2590-7320, 0-2590-7187 และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ รองเลขาธิการฯ กล่าวในที่สุด
-
อย.เตือน...เครื่องดื่มสมุนไพรก้านตอง ตรา เรนโบว์นี่ พีเพิล เฟรช
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขออนุญาตเป็นเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ในชื่อ เครื่องดื่มสมุนไพรก้านตอง (คาวตอง) ตรา เรนโบว์นี่ พีเพิล เฟรช เลขอย. 13-2-03751-2-0009 ซึ่งในการยื่นขออนุญาต ไม่มีการยื่น ข้อมูลประสิทธิผล ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และการแสดงข้อความ “ลดความดันโลหิตสูง ลดการสะสมของไขมันที่ทำให้หลอดเลือดแดงแข็ง แก้หัวใจเต้นผิดจังหวะ แก้ไมเกรน” และ “รักษาประจำเดือน มาไม่ปกติ ขับระดู ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ ของอาหารอันเป็นเท็จโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะ ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป...
-
อย. ตรวจพบแบคทีเรีย ชนิดโคลิฟอร์ม (Coliforms) และแบซิลัส ซีเรียส (Bacillus cereus) ในผลิตภัณฑ์มัลทิ เกรน มิกซ์ เครื่องดื่มสำเร็จรูปงาดำผสมลูกเดือยและธัญพืช วันผลิต : 10/07/2022 วันหมดอายุ : 09/07/2024
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบสถานที่จำหน่ายอาหาร ชื่อ บริษัท ว๊าว ดี๊ดี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เลขที่ 2539 บิ๊กซีลาดพร้าว ชั้น 3 ห้อง 301-303, 304, 305 ถนนลาดพร้าว แขวงเจ้าคุณสิงห์ เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร และได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยฉลากระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ “ผลิตภัณฑ์มัลทิ เกรน มิกซ์ เครื่องดื่มสำเร็จรูปงาดำผสมลูกเดือยและธัญพืช เลขสารบบอาหาร 60-1-03358-2-0051 วันผลิต : 10/07/2022 วันหมดอายุ : 09/07/2024” ผลการตรวจวิเคราะห์ทางวิชาการ พบ Coliforms มากกว่า 23 MPN/100 มิลลิลิตร มาตรฐานกำหนดตรวจพบแบคทีเรียชนิดโคลิฟอร์ม น้อยกว่า 2.2 MPN/100 มิลลิลิตร และตรวจพบจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค Bacillus cereus 1,200 CFU/กรัม มาตรฐานกำหนดพบ Bacillus cereus ไม่เกิน 100 ใน 1 กรัม จัดเป็นการจำหน่ายอาหารผิดมาตรฐาน ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 จึงไม่ปลอดภัยในการบริโภค และ อย. อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
ข้อแนะนำ
ขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังอย่าซื้อ “ผลิตภัณฑ์มัลทิ เกรน มิกซ์ เครื่องดื่มสำเร็จรูปงาดำผสมลูกเดือยและธัญพืช” ที่ฉลากระบุรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นมารับประทาน หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถาม หรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. แนะผู้บริโภค ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ก่อนใช้บริการ+
อย. แนะผู้บริโภคที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ เลือกสถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำอยู่ และตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. โดยตรวจสอบเลขทะเบียนหรือถ่ายรูปผลิตภัณฑ์ไว้ ก่อนรับบริการ เพื่อความปลอดภัย
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ปัจจุบันฟิลเลอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจและมีการนำมาใช้กันอย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แนะนำผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้มากยิ่งขึ้น เน้นย้ำถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์และวิธีตรวจสอบผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับฉีดเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของผิวหนังโดยการเติมเต็มหรือลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม โหนกแก้ม หน้าผาก ใต้ตา จมูก คาง ริมฝีปาก ทำให้ร่องและริ้วรอยดูตื้นขึ้น โดยฟิลเลอร์ที่นิยมใช้มักจะผลิตจากสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย เช่น กรดไฮยาลูโรนิก เป็นต้น
ฟิลเลอร์ จัดเป็น “เครื่องมือแพทย์” ที่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ขายต้องขออนุญาตจาก อย. ก่อนจำหน่าย โดยฟิลเลอร์แต่ละชนิดจะมีความเหมาะสมต่อการฉีดในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายที่แตกต่างกัน รวมถึงปริมาณที่ใช้ และวิธีการฉีด ซึ่งจะมีรายละเอียดกำหนดไว้อยู่บนฉลากและเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ประกอบวิชาชีพ
ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์อาจพบผลข้างเคียง ได้แก่ อาการคัน ปวด บวม ตึง แดงร้อนบริเวณที่ฉีด ผิวหนังฟกช้ำ ห้อเลือด ผิวหนังติดเชื้อ พบก้อนบริเวณที่ฉีด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดดูขาวขึ้นหรือคล้ำลง หรืออาจแพ้ยาชาที่เป็นส่วนผสมของฟิลเลอร์ ทำให้เส้นเลือดอุดตัน และอาจทำให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อตาย หรือตาบอดได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้บริโภคที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์ต้องเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังประจำอยู่ และควรขอใช้สิทธิตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์ว่า ฟิลเลอร์ได้ผ่านการอนุญาตจาก อย. หรือไม่ โดยดูจากเลขทะเบียนผลิตภัณฑ์ หรือตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตได้ที่เว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หรือ ผ่าน QR Code พร้อมกับถ่ายรูปผลิตภัณฑ์ไว้เป็นหลักฐานก่อนรับบริการ
รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ที่ผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้รับใบอนุญาต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิท มิกซ์ ออยล์ (ตรา บีไนน์)
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ วิท มิกซ์ ออยล์ (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมันงาดำ น้ำมันงาขี้ม้อน วิตามินอี และวิตามินเค) (ตรา บีไนน์) เลข อย. 10-1-13056-5-0065 ซึ่งในการยื่นขอ อนุญาตไม่มีการยื่นข้อมูลประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการ บำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และการ แสดงข้อความ “ฟื้นฟูกระดูกและข้อเข่า ช่วยยับยั้งการเสื่อมของกระดูก ลดอาการอักเสบ เสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของ โรคอัลไซเมอร์” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพหรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป...
-
ความรู้ อย. 9 วิธีใช้ผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นกำจัดยุงและแมลงอย่างถูกต้อง ปลอดภัย
ยุงและแมลงบางชนิด เป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์ อาจก่อปัญหาและสร้างความรำคาญใจให้กับมนุษย์ได้ผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นกำจัดยุงและแมลง เป็นทางเลือกหนึ่งในกำจัดยุงและแมลง ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นกำจัดยุงและแมลงอย่างถูกต้องจึงถือเป็นสิ่งสำคัญ
การใช้ผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นกำจัดยุงและแมลง
1.ควรใช้ผลิตภัณฑ์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
2.ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ในบริเวณที่มีอาหาร และเด็กอ่อน
3.อ่านฉลากให้เข้าใจก่อนใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากอย่างเคร่งครัด
4.ห้ามนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทางการเกษตร มาใช้กำจัดแมลงในบ้านเรือน
5.กรณีฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลง ให้คนและสัตว์ออกจากห้องก่อน
6.กรณีฉีดพ่นแมลงคลาน ให้ฉีดตามซอกมุม ใต้ตู้ หรือทางที่แมลงเดินผ่าน เท่านั้น
7.ฉีดพ่นเสร็จแล้วล้างมือให้สะอาด
8.ควรเก็บไว้ในที่มิดชิด ห่างจากเด็ก อาหาร สัตว์เลี้ยง เปลวไฟ และความร้อน
9.ภาชนะที่ใช้หมดแล้ว ห้ามทิ้งในแหล่งน้ำ ห้ามเผาทำลาย ควรแยกขยะก่อนทิ้ง
ผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นกำจัดยุงและแมลง จัดเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของ อย. ดังนั้นควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. โดยสังเกตฉลากที่มีเลขทะเบียนวัตถุอันตราย อย.วอส. ในกรอบเครื่องหมาย อย. โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบผลิตภัณฑ์” หรือตรวจสอบได้ที่ Line: @FDATHAI -
โฉมใหม่ ตรวจ ปล่อย สินค้าผ่านด่าน อย. รวดเร็ว เพียงยื่นบัตรประชาชนใบเดียว
โฉมใหม่ ยื่นบัตรประชาชนใบเดียว สามารถกำหนดสิทธิออกของผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ด่านอาหารและยาลดความซ้ำซ้อนและตรวจสอบสิทธิการออกของของตัวแทนออกของได้ทุกด่านพร้อมกัน ง่าย ๆ ลดขั้นตอน เพิ่มการอำนวยความสะดวก รองรับนโยบาย Smart อย. รวดเร็ว ปลอดภัย นำไทยสู่สากล
วันนี้ (26 มิถุนายน 2566) ณ ด่านอาหารและยาท่าเรือกรุงเทพ นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เป็นประธานเปิดงานประชาสัมพันธ์กระบวนการออกของง่ายกว่าที่คิดซึ่งแนวคิดการดำเนินงานมาจากการที่รัฐบาลได้กำหนดนโยบายประเทศไทย 4.0 เน้นการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนระบบราชการให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนของหน่วยงานรัฐ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้ขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาองค์กรสู่ดิจิทัล (FDA Digital Transformation) ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ลดขั้นตอนการให้บริการ เพิ่มการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และผู้ประกอบการธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพทุกระดับ เพื่อรองรับนโยบายการเป็น Smart อย. รวดเร็ว ปลอดภัย นำไทยสู่สากล
ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการมอบอำนาจเพื่อกำหนด “สิทธิออกของ” จากการยื่นเอกสารด้วยกระดาษ ณ ด่านอาหารและยาแต่ละแห่ง เปลี่ยนเป็นการบริการอิเล็กทรอนิกส์เบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่ อย. โดยจะช่วยลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการมอบอำนาจเพื่อกำหนดสิทธิของตัวแทนออกของที่เกิดขึ้นในแต่ละด่านอาหารและยา พร้อมทั้งยังสามารถตรวจสอบสิทธิการออกของของตัวแทนออกของที่ด่านอาหารและยาทุกแห่งได้ในคราวเดียวกันทั้งประเทศ
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่าการตรวจปล่อยสินค้าในรูปแบบใหม่นี้ สามารถใช้บัตรประจำตัวประชาชนเพียงใบเดียวของผู้มีสิทธิออกของพร้อมข้อมูลเลขที่ใบขนสินค้าโดยจะเริ่มนำร่องการตรวจปล่อยผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผ่านการอนุญาตจากระบบe-Submission ของกองด่านอาหารและยาก่อน -
อย. ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์บริการ และคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป จัดกิจกรรมสัมมนาระดับภูมิภาคระหว่างประเทศพันธมิตรในเอเชีย เกี่ยวกับกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของวัสดุสัมผัสอาหารและพลาสติกรีไซเคิล
อย. ร่วมกับ กรมวิทยาศาสตร์บริการ และคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปจัดกิจกรรม Regional seminar on ‘Food Contact Materials and Safety Requirements applicable to Recycled Plastic’ ระหว่างวันที่ 26-27 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรม Carlton Hotel Bangkok กรุงเทพมหานคร เพื่อการเพิ่มความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลกฎระเบียบของสหภาพยุโรปด้านวัสดุสัมผัสอาหารและพลาสติกรีไซเคิล และความจำเป็นในการตรวจสอบโรงงานผู้ผลิตพลาสติกรีไซเคิลที่ต้องการส่งออกพลาสติกรีไซเคิลไปยังสหภาพยุโรป
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566 เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์บริการและสหภาพยุโรปจัดกิจกรรมการสัมมนาระดับภูมิภาค Regional seminar on ‘Food Contact Materials and Safety Requirements applicable to Recycled Plastic’ ระหว่างวันที่ 26-27 มิถุนายน 2566 โดยการสัมมนาครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญจากสหภาพยุโรป ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎระเบียบวัสดุสัมผัสอาหาร ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานประเมินความปลอดภัย (European Food Safety Authority, EFSA) ผู้เชี่ยวชาญจากห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านวัสดุสัมผัสอาหาร และมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลความปลอดภัยของวัสดุสัมผัสอาหาร ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ หน่วยงานวิจัย และผู้ประกอบการจากภาคอุตสาหกรรม เข้าร่วมการสัมมนา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความร่วมมือด้านวัสดุสัมผัสอาหารระหว่างประเทศในยุโรปและเอเชีย เพิ่มความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลกฎระเบียบของสหภาพยุโรปด้านวัสดุสัมผัสอาหารและพลาสติกรีไซเคิล วิธีการปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมาย และร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เนื่องจากปัจจุบันสหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบฉบับใหม่ที่กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ต้องการส่งออกวัสดุสัมผัสอาหารที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าวเช่นเดียวกับผู้ผลิตในสหภาพยุโรป โดยต้องมีการยื่นขออนุญาตเทคโนโลยีและกระบวนการรีไซเคิล การขึ้นทะเบียนโรงงานรีไซเคิล รวมถึงต้องมีการตรวจประเมินโรงงานรีไซเคิลโดยหน่วยงานที่มีอำนาจของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป หรือหน่วยงานที่มีอำนาจของประเทศผู้ส่งออก ทั้งนี้กฎระเบียบดังกล่าวมีผลกระทบกับผู้ส่งออกอาหารที่ใช้ภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิลเช่นกัน เนื่องจากผู้ผลิตตลอดห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้องต้องสามารถให้ข้อมูลตรวจสอบย้อนกลับเกี่ยวกับที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการผลิตรวมถึงภาชนะบรรจุอาหารที่ใช้
สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ (Asian competent authorities) ของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลความปลอดภัยของวัสดุสัมผัสอาหาร รวมทั้งองค์กร หน่วยงาน และภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจต่อกฎระเบียบของสหภาพยุโรปยิ่งขึ้นและรับรู้ถึงความจำเป็นในการตรวจสอบกระบวนการรีไซเคิลตามเงื่อนไขของสหภาพยุโรป เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ผลิตในประเทศที่ต้องการส่งออกสินค้าไปสหภาพยุโรป และลดอุปสรรคทางการค้า รวมทั้งยังสามารถนำความรู้จากการสัมมนาไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณากำหนดมาตรการรองรับ หรือพัฒนาแนวทางในการกำกับดูแลของแต่ละประเทศ เพื่อให้เกิดการคุ้มครองความปลอดภัยจากการใช้ภาชนะบรรจุอาหารของผู้บริโภคภายในประเทศให้ทัดเทียมกับสินค้าที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย อย. มีการอนุญาตการใช้ภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล โดยต้องมีการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการรีไซเคิลและความปลอดภัยของพลาสติกรีไซเคิลที่จะนำมาผลิตเป็นภาชนะบรรจุอาหาร ในทำนองเดียวกับสหภาพยุโรป เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจต่อความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหารโดยเฉพาะที่ทำจากพลาสติกรีไซเคิล -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รูเซี่ยม (RUXIUM DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT)
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ RUXIUM รูเซี่ยม UC-II ปวดไขข้อ เข่าเสื่อม ร้าวลงขา อาการดีขึ้นชัดเจนใน 2 วัน ...ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ ผลิตภัณฑ์เสริม : อาหาร รูเซี่ยม (RUXIUM DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT) เลขอย. 10-1-15662-5-0041 ซึ่งในการยื่นขออนุญาต ไม่มีการยื่น ข้อมูลประสิทธิผล ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และการแสดงข้อความ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รูเซี่ยม ช่วยลดอาการปวดข้อและหัวเข่า” และ “ปวดไขข้อ เข่าเสื่อม ร้าวลงขา อาการดีขึ้นชัดเจนใน 2 วัน เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดย ไม่สมควร ซึ่ง อย.จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป..
-
อย. หนุนเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีตรวจเยี่ยมสถานประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของสถานประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2566 โดยนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า อย. มีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากความหลากหลายของทรัพยากรและภูมิปัญญาของแต่ละพื้นถิ่นเพื่อให้เกษตรกรฐานรากและผู้ประกอบการในชุมชนมีรายได้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่ง อย. จังหวัดทั่วประเทศได้ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในชุมชน ทั้งด้านความรู้เชิงวิชาการของผลิตภัณฑ์สุขภาพและการจัดการสถานที่ผลิตอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการในชุมชนสามารถผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัยต่อผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์ผ่านการอนุญาตจาก อย.ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน และสร้างโอกาสการแข่งขันในตลาดระดับประเทศและระดับสากล
สำหรับการลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรีครั้งนี้ อย. ได้เข้าตรวจเยี่ยม (1) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเขาบายศรี แหล่งผลิตผลไม้แปรรูป โดยเฉพาะทุเรียน และขนมต่าง ๆ เช่น ทุเรียนทอด ทอฟฟี่ผลไม้ ขนมผิง น้ำพริกต่าง ๆ สถานที่ผลิตได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practices) ผลิตภัณฑ์ได้คุณภาพตามมาตรฐาน อย. สามารถส่งขายต่างประเทศได้ และได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประเภทผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน ตั้งแต่ปี 2552 (2) บริษัท เอ็มออชาร์ด จำกัด สถานที่ผลิตเครื่องหอม เครื่องสำอางจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา และผลิตภัณฑ์กันยุง โดยผสมผสานแนวความคิดทางเภสัชกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น สถานที่ผลิตและผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐาน อย. มีการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค (3) วิสาหกิจชุมชนคลองน้ำเค็มทันใจ เป็นแหล่งแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรโดยเน้นความแปลกใหม่ เพื่อให้เกิดความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานกับภูมิปัญญาบรรพบุรุษ เช่น เมี่ยงทุเรียน ชีสมังคุด แครกเกอร์ทุเรียน ชีสทุเรียน โดยสถานที่ผลิตและผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐาน อย. ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ในปี 2561 ประเภทผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน ทั้งนี้ อย. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี ได้ให้คำแนะนำด้านคุณภาพมาตรฐานในการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพ รับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการในชุมชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อนำไปปรับปรุงการดำเนินงานให้เศรษฐกิจในชุมชนมีความเข้มแข็ง ส่งต่อให้เศรษฐกิจของจังหวัดและประเทศมั่นคงแข็งแรงในที่สุด -
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คิวแคน พลัส ซีบีดี (QCAN Plus CBD)
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คิวแคน พลัส ซีบีดี (QCAN Plus CBD)
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ คิวแคน พลัส ซีบีดี (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลนิ่ม) เลข อย. 19-1-20659-5-0078 ซึ่งในการยื่นขออนุญาตไม่มีการยื่นข้อมูลประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้าง แต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการ บำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และการแสดงข้อความ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร QCAN Plus CBD ที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ 3 ชนิด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายแข็งแรง” เป็นการโฆษณา คุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทาง กฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป..
-
อย. ตรวจพบซิลเดนาฟิล และ ทาดาลาฟิล ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บีแอลเอ็กซ์ ตรา บาลานซ์ รุ่นการผลิต BACTH NO : 020522 วันผลิต MFG : 04052022 ควรบริโภคก่อน BBF : 04052024
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้สุ่มเก็บตัวอย่างอาหารจากสถานที่จำหน่ายอาหาร ชื่อบริษัท บาลานซ์ แบรนด์ จำกัด ณ เลขที่ 259 ซอยพระรามที่ 2 ซอย 39 แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยฉลากระบุรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ดังนี้ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บีแอลเอ็กซ์ ตรา บาลานซ์ เลขสารบบอาหาร 13-1-01464-5-0005 ผลิตโดย บริษัท เอสอาร์วาย โฟว์ตี้ไฟว์ จำกัด เลขที่ 56/36-37 หมู่ 9 ตำบลลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12150 รุ่นการผลิต BACTH NO : 020522 วันผลิต MFG : 04052022 ควรบริโภคก่อน BBF : 04052024 บรรจุ : 10 แคปซูล น้ำหนักสุทธิ : 6 กรัม” ผลการตรวจวิเคราะห์ทางวิชาการ พบยาแผนปัจจุบันซิลเดนาฟิล (Sildenafil) และ ทาดาลาฟิล (Tadalafil) จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาควบคุมพิเศษ ฉบับที่ 35 ยากลุ่มที่ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ จึงเป็นอาหารที่มีสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือปนอยู่ด้วย เข้าข่ายเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค และ อย. อยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
ข้อแนะนำ
ขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังอย่าซื้อ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บีแอลเอ็กซ์ ตรา บาลานซ์” ที่ฉลากระบุรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นมารับประทาน หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถาม หรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. ชวนตรวจสอบยาเสพติดก่อนทำลายให้สิ้นซาก กว่า 32 ตัน มูลค่า 21,419 ล้านบาท
อย. และหน่วยงานภาคีเครือข่ายร่วมตรวจสอบยาเสพติดของกลาง น้ำหนักรวมกว่า 32 ตัน มูลค่า 21,419 ล้านบาท ณ คลังยาเสพติดของกลาง อาคาร 6 ชั้น 1 ตึก อย. อย่างโปร่งใส ก่อนนำไปทำลายครั้งที่ 56 ในวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ณ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ซึ่งในการทำลายยาเสพติดครั้งนี้ ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NG) ในการเผาไหม้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,200 °C พร้อมทั้งระบบควบคุมสารมลพิษที่เหลือจากการทำลายที่ทันสมัย มั่นใจได้ว่าไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ตรงตามมาตรฐานสากล US EPA ในการกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตราย
นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่าตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าด้วยการตรวจรับ การตรวจพิสูจน์ การเก็บรักษา การทำลาย การนำไปใช้ประโยชน์ และการรายงานยาเสพติด พ.ศ. 2565 ได้กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นผู้เก็บรักษายาเสพติดของกลาง ณ คลังยาเสพติดของกลาง โดยในปี 2566 มียาเสพติดของกลางที่ทำลายจำนวนรวมกว่า 32,472 กิโลกรัม จาก 192 คดี มูลค่ารวม 21,419 ล้านบาท โดยมีเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ที่มีน้ำหนักมากสุดกว่า 20,680 กิโลกรัม รองลงมา คือ เมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) น้ำหนักกว่า 5,942 กิโลกรัม คาทีน (นอร์ซูโดอีเฟดรีน) + คาทิโนน น้ำหนักกว่า 5,006 กิโลกรัม คีตามีน น้ำหนักกว่า 364 กิโลกรัม เฮโรอีน น้ำหนักกว่า 275 กิโลกรัม เอ็มดีเอ็มเอ น้ำหนักกว่า 85 กิโลกรัม โคคาอีน น้ำหนักกว่า 43 กิโลกรัม ไนเมตาซีแพม น้ำหนักกว่า 22 กิโลกรัม และฝิ่น น้ำหนักกว่า 6 กิโลกรัม ซึ่งจะนำไปทำลายในวันที่ 26 มิถุนายน 2566
ทั้งนี้ ก่อนที่จะนำยาเสพติดของกลางไปทำลาย คณะทำงานทำลายยาเสพติของกลาง ด้านตรวจรับ ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองทัพบก และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะต้องตรวจสอบยาเสพติดของกลาง เพื่อให้ทราบน้ำหนัก ลักษณะ และประเภทของยาเสพติด พร้อมทั้งสุ่มตัวอย่างเพื่อตรวจเบื้องต้นว่าเป็นยาเสพติดจริง และในวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ประธานคณะทำงานทำลายยาเสพติของกลาง ด้านตรวจรับ จะส่งมอบให้ประธานคณะทำงานทำลายยาเสพติของกลาง ด้านขนย้ายเพื่อนำยาเสพติดของกลางไปทำลายที่ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ต่อไป
-
อย.เตือนผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร"โมวิตา (Movita)"
ผลิตภัณฑ์ ฉลากระบุ Movita ขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ โมวิตา (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) / Movita (Dietary Supplement Product) เลขอย. 13-1-02954-5-0591 ซึ่งในการยื่นขออนุญาตไม่มีการ ยื่นข้อมูลประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และต้องแสดงคำ เตือนดังกล่าวบนฉลาก และการแสดงข้อความ “ต่อสู้กับความเจ็บปวดข้อกระดูก การอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่พยุงข้อต่อ” “ช่วยบำรุงระบบการทำงานของน้ำในข้อต่อ” และ “ช่วยคลายอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพของอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป -
อย.ร่วมกับ ตำรวจ“ทลายเครือข่ายจำหน่ายยาลดน้ำหนักผสมไซบูทรามีนข้ามชาติ มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท”
วันที่ 15 มิถุนายน 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง, พ.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เกศะรักษ์, พ.ต.อ.ภาคภูมิ ศรีลาภะมาศ, พ.ต.อ.อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ, พ.ต.อ.ชัฏฐ นากแก้ว, พ.ต.อ.ปัญญา กล้าประเสริฐ รอง ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.4 บก.ปคบ, นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา, ภญ.อรัญญา เทพพิทักษ์ ผอ.ศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดย นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, นายชาตรี พินใย นิติกรชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการกองกฎหมาย, องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ(ตำรวจสากล) และสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา(HSI), หน่วยงานสืบสวนอาชญากรรมข้ามชาติ(TCIU), สำนักงานกลางแห่งชาติตำรวจสากลกรุงเทพ(Interpol NCB Bangkok) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติงาน กรณีจับกุมเครือข่ายลักลอบจำหน่ายยาลดน้ำหนักผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ ข้ามชาติ ตรวจค้น 6 จุด จับกุมผู้ต้องหา 4 ราย ตรวจยึดของกลางเป็นยาลดน้ำหนัก, ยาอื่นที่เป็นความผิดตาม พรบ.ยา พ.ศ. 2510 กว่า 270 รายการ มูลค่า กว่า 6,000,000 บาท
พฤติการณ์ ด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้รับประสานจาก ผู้แทนทางการมาเลเซียและองค์การตำรวจสากล ผ่านกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณี Ms.Gaukhar Kussainova สัญชาติคาซัคสถาน ซึ่งมีชื่อในวงการขายยาลดน้ำหนักว่า “มาเรีย คิม” เป็นผู้ต้องสงสัยในการจำหน่ายยาลดน้ำหนักผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทซึ่งถูกจับกุมในประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 โดยมีการจัดส่งยาลดน้ำหนักจากประเทศไทย ผ่านทางเว็บไซต์ออนไลน์จำนวน 3 เว็ปไซต์ ได้แก่ 1. www.SlimMedicine.com, 2. www.panbesy.com และ 3. www.yanheeslimmingpills.com จากการตรวจสอบเว็บไซต์ดังกล่าว พบว่า
มีการโพสต์ขายยากลุ่มลดน้ำหนัก ยาระงับหิว ยานอนหลับ และขายยาลดน้ำหนักในรูปแบบยาชุด อวดอ้างสรรพคุณการลดน้ำหนักจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ ราคา 3,230 - 11,390 บาท โดยมีสูตรยาชุดต่างๆ เช่น สูตรลดน้ำหนัก Yanhee 7 วัน, สูตรลดน้ำหนัก Bangkok 20-25 kg 28 วัน และ สูตรลดน้ำหนัก Derm Care DC mega strong plus 20-25 kg 28 วัน เป็นต้น โดย
มีการรีวิวสรรพคุณการลดน้ำหนักผ่านช่องทาง YOUTUBE ชื่อThai Diet Pill
( https://www.youtube.com/watch? v=Peq561idBcI ) และได้รับการประสานงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรณีมีการจับกุมยาชุดลดน้ำหนักในประเทศจีน ซึ่งมีลักษณะตรงกับ ยาลดน้ำหนักสูตร Derm Care DC ที่มีการจำหน่ายโดยเครือข่ายของ มาเรีย คิม ในประเทศไทย
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวน จนทราบสถานที่จัดเก็บ และบรรจุยาลดน้ำหนักเพื่อจัดส่งให้กับลูกค้า และได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับ Mr. SHABIR ฯ สัญชาติปากีสถาน ฐาน “ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันขายยาบรรจุเสร็จหลายขนาน โดยจัดเป็นชุดในคราวเดียวกัน โดยมีเจตนาให้ผู้ซื้อใช้รวมกันเพื่อบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคหนึ่ง โรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ”
วันที่ 23 มีนาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เข้าตรวจค้นสถานที่เก็บ และบรรจุยาลดน้ำหนัก จำนวน 2 จุด ภายในอพาร์ทเม้นแห่งหนึ่ง ซอยอ่อนนุช 17 แขวง/เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร โดยจับกุมตัว Mr. SHABIRฯ สัญชาติปากีสถาน (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) พร้อมตรวจยึดยาชุดบรรจุเสร็จ จำนวน 20 ชุด, ยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยมีส่วนผสมของวัตถุออกฤทธิ์ จำนวน 35,819 เม็ด, ยามีทะเบียน จำนวน 92,750 เม็ด, กล่องพัสดุและซองบรรจุยา ประมาณ 6,000 ชิ้น และอุปกรณ์เอกสารที่เกี่ยวข้อง รวม 74 รายการ
จากการเข้าตรวจค้นห้องพัก ของผู้ต้องหาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบถึงเครือข่ายบุคคลที่เกี่ยวข้อง และแหล่งที่มาของยาลดน้ำหนัก และได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม อีก 4 ราย ได้แก่ 1. Ms. GAUKHARฯ สั ญชาติคาซัคสถาน, 2. Mr. Anthonyฯ สัญชาติฟิลิปปินส์, 3. น.ส.วรัญญาฯ สัญชาติไทย และ 4. น.ส.พรเพ็ญฯ สัญชาติไทย ในข้อหา “ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันขายยาบรรจุเสร็จหลายขนาน โดยจัดเป็นชุดในคราวเดียวกัน โดยมีเจตนาให้ผู้ซื้อใช้รวมกันเพื่อบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคหนึ่ง โรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ”
วันที่ 31 มีนาคม 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), เจ้าหน้าที่องค์การตำรวจสากล และ เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา ทำการตรวจค้น สถานที่เก็บของ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัด กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี และประจวบคีรีขันธ์ รวมจำนวน 4 จุด ดังนี้
- สถานที่เก็บและบรรจุยาลดน้ำหนักเพื่อส่งให้ลูกค้า ในบ้านพักอาศัย ในพื้นที่ ม.8 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จับกุม Mr. Anthonyฯ สัญชาติฟิลิปปินส์ (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) ตรวจยึด ยาชุดบรรจุเสร็จ 6 ชุด, ยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยมีส่วนผสมของวัตถุออกฤทธิ์ จำนวน 54,363 เม็ด, ยามีทะเบียน จำนวน 51,500 เม็ด และ อุปกรณ์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวม 135 รายการ
- สถานที่เก็บและจัดส่งยาให้ Mr. SHABIR และ Mr. Anthony เพื่อนำมาบรรจุส่งจำหน่ายให้แก่ลูกค้า จำนวน 2 จุด บริเวณบ้านพักในพื้นที่ชุมชนจันทร์เกษม ซ.ประชานฤมิตร ถ.กรุงเทพนนท์ แขวง/เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร จับกุม น.ส.วรัญญา ฯ (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) ตรวจยึดยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยมีส่วนผสมของวัตถุออกฤทธิ์ จำนวน 65 เม็ด , ยามีทะเบียน จำนวน 4,200 เม็ด, กล่องพัสดุและซองบรรจุยา ประมาณ 140 ชิ้น และอุปกรณ์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวม 17 รายการ
- สถานที่เก็บและจัดส่งยาให้ Mr. SHABIR และMr. Anthony เพื่อนำมาบรรจุส่งจำหน่ายให้แก่ลูกค้า ในบ้านพักอาศัยพื้นที่ หมู่ 7 ต.บางสะพาน อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จับกุม น.ส.พรเพ็ญ ฯ (ผู้ต้องหาตามหมายจับ) ตรวจยึด ยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยมีส่วนผสมของวัตถุออกฤทธิ์ จำนวน 16,160 เม็ด, ยามีทะเบียน 920 เม็ด, แคปซูลเปล่าพร้อมบรรจุ 90,500 แคปซูล, วัตถุดิบและอุปกรณ์ในการผลิตยา รวมถึงกล่องพัสดุและซองบรรจุยา กว่า 500 ชิ้น รวมถึงอุปกรณ์และเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหมด 47 รายการ
รวมตรวจค้น 6 จุด ตรวจยึด ยาที่มีส่วนผสมวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1(ไซบูทรามีน) กว่า 2,000 เม็ด, ยาไม่มีทะเบียนต้องสงสัยว่าผสมของวัตถุออกฤทธิ์ฯ จำนวน 104,000 เม็ด, ยามีทะเบียน จำนวน 149,000 เม็ด, ยาชุดลดน้ำหนักพร้อมส่งให้กับลูกค้า 26 ชุด ประมาณ 5,400 เม็ด, แคปซูลเปล่าคละสี จำนวน 90,500 แคปซูล, กล่องพัสดุและซองยาสำหรับส่งให้ผู้บริโภค ประมาณ 10,000 ชิ้นและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยาลดน้ำหนัก รวมถึงพยานหลักฐานอื่น รวม 272 รายการ มูลค่ากว่า 6,000,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บตัวอย่างยาของกลางที่ตรวจยึดในแต่ละจุดส่งตรวจ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 2 มิถุนายน 2566 ได้รับผลตรวจวิเคราะห์ของกลางที่ตรวจยึดจาก Mr. SHABIRฯ พบว่ามี “ไซบูทรามีน” ผสมอยู่ ในวันที่ 8 มิถุนายน 2566 จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในข้อหา “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 (ไซบูทรามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อทางการค้าและร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์และยารวมกันหลายขนาน โดยจัดเป็นชุดไว้ล่วงหน้า เพื่อประโยชน์ทางการค้า” ส่วนยาของกลางที่ตรวจยึดจากจุดอื่นๆ อยู่ระหว่างรอผลตรวจ หากพบวัตถุออกฤทธิ์ผสมอยู่ จะเรียกมาเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป
ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดย Mr. SHABIRฯ และ Mr. Anthony ฯ ให้การรับว่า Ms. GAUKHAR หรือมาเรีย คิม เป็นผู้สั่งการ ให้ตนทำการบรรจุยาและส่งให้ลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยได้รับค่าจ้างเดือนละ 20,000-25,000 บาท ส่วน น.ส.วรัญญา ฯ และ น.ส.พรเพ็ญฯ ให้การรับว่า Ms. GAUKHARฯ ได้สั่งซื้อ ยาลดน้ำหนักและผลิตภัณฑ์ยาอื่นๆ จากตน เมื่อได้รับออเดอร์ ก็จะไปจัดหายาตามแหล่งขายต่างๆ และจัดส่งให้กับ Mr. SHABIRฯ และ Mr. Anthonyฯ โดยผลตอบแทนที่ได้จากการหาซื้อยาลดน้ำหนักจะบวกกำไรจากยอดสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
การทลายเครือข่ายดังกล่าวพบว่า มีการส่งยาลดน้ำหนักไปขายต่างประเทศรวมกว่า 34 ประเทศ มากกว่า 600 ครั้ง เช่น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, อังกฤษ, จีน และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งตั้งแต่ มกราคม-มีนาคม 2566 เครือข่ายยาลดน้ำหนักดังกล่าว มียอดเงินหมุนเวียนในบัญชี กว่า 3 ล้านบาท โดย Ms. GAUKHARฯ หรือมาเรีย คิม ผู้ต้องหาตามหมายจับ ยังเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังองค์กรตำรวจสากล เพื่อประสานการจับกุมตัวมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจค้นห้องพัก Mr. SHABIR ฯ ผู้ต้องหา พบพยานหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงินของสถานพยาบาลยันฮีคลินิกเวชกรรม จำนวนมาก จึงทำการสืบสวนขยายผลถึงแหล่งที่มาของยาลดน้ำหนัก พบว่า Ms.GAUKHARฯ ได้ว่าจ้างให้เอเย่นชาวไทยเปิด OPD กับทางสถานพยาบาลเพื่อให้ได้ เลขประจำตัวผู้ป่วย(เลข HN) ในนามของ Ms.GAUKHAR ฯ จากนั้นจะให้ Mr. SHABIRฯ โทรสั่งซื้อยาลดน้ำหนักจากสถานพยาบาล โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลนำยามาให้ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมด Ms.GAUKHAR ฯ ไม่ได้พบแพทย์เพื่อตรวจรักษาแต่อย่างใด เมื่อกลุ่มผู้ต้องหารับยาลดน้ำหนักจากสถานพยาบาลยันฮีคลินิกเวชกรรม แล้ว ผู้ต้องหาจะนำไปจัดเป็นชุดและส่งขายต่อให้ผู้บริโภคอีกทอด
วันที่ 21 เมษายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับคณะกรรมการอาหารและยา(อย.), กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และองค์การตำรวจสากล จึงร่วมกันเข้าตรวจสอบสถานพยาบาล ยันฮีคลินิกเวชกรรม และตรวจยึด เอกสารประวัติการเข้ารักษาเลขประจำตัวผู้ป่วย(เลขHN) ระบุชื่อ Mrs.GAUKHARฯ ซึ่งพบว่า ประวัติการเข้ารักษา มีการสั่งจ่ายยากลุ่มสมุนไพรและยาแผนปัจจุบันให้ผู้ป่วยตั้งแต่ ปี 2557 – 2566 จำนวน 113 ครั้ง (ปี 2565 จำนวน 78 ครั้ง, ปี 2566 จำนวน 20 ครั้ง) ซึ่งเป็นการจ่ายยาที่มีความถี่สูง และมีจำนวนปริมาณยาที่มากผิดปกติ กว่าการจ่ายยาให้ผู้ป่วยเฉพาะราย และจากการตรวจสอบรายชื่อแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาแผนปัจจุบันให้แก่กลุ่มผู้ต้องหา พบว่า แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเป็นแพทย์แผนจีน ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถจ่ายยาแผนปัจจุบันให้แก่ผู้ป่วยได้ จึงได้ตรวจยึดยาไม่มีทะเบียน และพยานหลักฐานอื่น รวม 15 รายการ ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ฐาน “ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” โดยพนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดได้แก่ ผู้ดำเนินกิจการสถานพยาบาลของ ยันฮีคลินิกเวชกรรม และแพทย์แผนจีนที่สั่งจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วยต่อไป
การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นความผิดตาม
1.ประมาลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ฐาน “ร่วมกันจำหน่ายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 (ไซบูทรามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อทางการค้า” ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาทถึง 1,500,000 บาท
2.พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510
- ฐาน “ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
-ฐาน “ร่วมกันขายยาบรรจุเสร็จหลายขนาน โดยจัดเป็นชุดในคราวเดียวกัน โดยมีเจตนาให้ผู้ซื้อใช้รวมกันเพื่อบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคหนึ่ง โรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ในส่วนผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล ,ผู้ดำเนินกิจการสถานพยาบาล และแพทย์ผู้จำหน่ายยา จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ฐาน “ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนว่า การซื้อผลิตภัณฑ์ยาลดน้ำหนักผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ควรใช้ความระมัดระวังในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ต้องเข้ารับการรักษาจากสถานบริการที่ได้รับอนุญาต และการสั่งยาผ่านโดยแพทย์เท่านั้น และขอเตือนผู้ที่ลักลอบจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันและวัตถุออกฤทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. โดยเฉพาะการลักลอบจำหน่ายยาลดความอ้วนทางสื่อออนไลน์ ให้หยุดการกระทำดังกล่าวทันที หากตรวจพบจะดำเนินคดีถึงที่สุด ขอพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่อง หากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค
ภญ.อรัญญา เทพพิทักษ์ ผอ.ศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ กล่าวว่าปฏิบัติการในครั้งนี้ อย. ขอขอบคุณตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ที่สืบสวนขยายผลจนสามารถจับกุมผู้ค้าตรวจยึดผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายได้จำนวนมาก จนมีการจับกุมดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และแจ้งข่าวเตือนประชาชนให้ทราบข้อมูลอยู่เสมอเพื่อมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ทานแล้วลดน้ำหนักเห็นผลไวเห็นผลจริง ปลอดภัย การันตี ไม่มีผลข้างเคียง เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างใช้ลดน้ำหนักเหล่านี้มักพบว่ามีส่วนผสมของไซบูทรามีนหรือยาแผนปัจจุบัน ที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลางที่ทำให้ไม่รู้สึกหิว และอิ่มเร็วจึงเป็นที่นิยมในการลักลอบใส่ในกลุ่มยาชุดและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างลดน้ำหนัก ผลข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับคนที่กินยาที่มีส่วนผสมของไซบูทรามีน ได้แก่ ปากแห้ง ท้องผูก ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว อาจทำให้เสียชีวิตได้ จึงขอย้ำว่าอย่าซื้อยาลดน้ำหนักมารับประทานเองโดยเด็ดขาด ควรปรึกษาแพทย์
ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจากอย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th และLine@FDAThai หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่านEmail: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นิโคแคล แคลเซียม ชนิดแคปซูลนิ่ม
อย.เตือน...ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ ผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร นิโคแคล แคลเซียม ชนิดแคปซูลนิ่ม (NIKOCAL CALCIUM SOFT GEL CAPSULE DIETARY SUPPLEMENT PRODUCT) เลขอย. 13-2-04959-2-0173 ซึ่งในการยื่นขออนุญาต ไม่มีการยื่นข้อมูลประสิทธิผล ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และการแสดงข้อความ “ไม่สูงมาเป็น 10 ปี เตี้ยกรรมพันธุ์ทานแคลม่วงทุกวัน 2 เม็ด สูงเพิ่ม 5+” “นิโคแคลแคลเซียม เพิ่มความสูง ดีต่อข้อต่อ ปวดข้อปวดเข่า” “ส่วนสูง ทานแคลม่วง 2 เม็ดทุกวัน เพิ่มมา 10+” และ “แคลเซียมเพิ่มความสูง นิโคแคลแคลเซียม” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหาร อันเป็นเท็จ หรือ หลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการฝ่าฝืน พรบ. อาหารพ.ศ. 2522 ต่อไป..
-
อย. เปิดคอร์สติดปีกความรู้ผู้ประกอบการอาหาร SMEs ยกระดับการแข่งขันสู่เวทีโลก
อย. ติวเข้มผู้ประกอบการผลิตอาหารระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชน มุ่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมสถานที่ผลิตอาหารให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์วิธีที่ดีในการผลิตอาหาร และการขออนุญาตผลิตภัณฑ์อาหาร ให้สามารถผลิตอาหารตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
เภสัชกรเลิศชาย เลิศวุฒิ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เป็นประธานเปิดการอบรม “โครงการส่งเสริมความรู้การขออนุญาตด้านอาหารสำหรับผู้ประกอบการระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 - 20 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมสถานที่ผลิตอาหารให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหารและการขออนุญาตผลิตภัณฑ์อาหารให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย รวมทั้งผู้ประกอบการผลิตอาหารกลุ่มเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ขนมขบเคี้ยวและน้ำพริก ในระดับ SMEs และวิสาหกิจชุมชน นำองค์ความรู้ความเข้าใจในการขออนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพด้านอาหาร ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการให้สามารถผลิตอาหารที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย แสดงฉลากและโฆษณาผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยผลประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสในการแข่งขันทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งสนับสนุนการกระจายรายได้สู่ประชาชนในท้องถิ่น
การเสริมทักษะในครั้งนี้ อย. มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการ SMEs และวิสาหกิจชุมชน ที่ผ่านการอบรมมีความรู้ความเข้าใจในการขออนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพด้านอาหารเพิ่มมากยิ่งขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการตลาดในเวทีระดับโลก มุ่งสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
-
ความรู้ อย. ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล ลดปัญหาเชื้อดื้อยา
ที่ผ่านมายังพบว่าคนไทยยังมีความเข้าใจผิดในว่ายาปฏิชีวนะคือยาแก้อักเสบ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง เช่น การซื้อยาใช้เอง การใช้ยาผิดข้อบ่งชี้ ใช้ยาผิดขนาด หรือใช้ยาไม่นานพอที่จะกำจัดเชื้อได้ ทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาตามมา ซึ่งปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะและเกิดเชื้อดื้อยานั้นเป็นปัญหาที่มีมานานและยังเป็นปัญหาที่พบได้มากในปัจจุบัน ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับยาปฏิชีวนะกันก่อน ดังนี้
ยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ (Antibiotics) เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการทำลาย ฆ่า หรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียโดยผ่านหลาย ๆ กลไก ไม่มีฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัส จึงไม่ช่วยให้โรคติดเชื้อไวรัสหรือโรคภูมิแพ้หายเร็วขึ้นหรือมีอาการดีขึ้น และยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบ
การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม พบได้หลายรูปแบบ ได้แก่
∙ การใช้ยาที่มีระยะเวลาสั้นเกินไป ลืมรับประทานยารวมถึงการหยุดยาปฏิชีวนะเมื่ออาการดีขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากใช้ยาไม่ครบตามจำนวนวันที่แพทย์สั่ง
∙ การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินความจำเป็น เช่น ใช้ยาติดต่อเป็นระยะเวลายาวนานโดยไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้
∙ การใช้ยาในขนาดต่ำเกินไป เช่น รับประทานยาแค่ 2 มื้อ แต่ที่ควรจะเป็นคือ 4 มื้อ ทำให้ไม่เพียงพอต่อการออกฤทธิ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
∙ การใช้ยาไม่ถูกกับโรค เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัส
∙ การแบ่งยากันใช้ ทำให้เกิดการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมหลายอย่าง เช่น ใช้ยาไม่ถูกกับโรค ใช้ขนาดยาไม่ถูกต้อง เป็นต้น
เราช่วยกันลดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ โดยปฏิบัติตามแนวทางการใช้ยา 3 ข้อ ต่อไปนี้
1.ใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีจำเป็นเท่านั้น เช่น การป่วยด้วยโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
2.กินยาปฏิชีวนะให้ครบขนาดตามที่แพทย์สั่ง หากหยุดกินเองเชื้อแบคทีเรียจะปรับตัวให้คงทนต่อยามากขึ้นและกลายเป็นเชื้อดื้อยาในที่สุด
3.ใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ยาแรงหรือกว้างเกินไป เพื่อมุ่งให้หายจากอาการป่วยโดยเร็ว ซึ่งหากใช้ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์แรงในการรักษาเริ่มแรกทันที เมื่อเกิดการดื้อยาขึ้นจะทำให้ไม่มียาขนานต่อไปเพื่อใช้ในการรักษา
อันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ
1.เกิดการแพ้ยา ซึ่งหากแพ้ยารุนแรงผิวหนังจะเป็นรอยไหม้ หลุดลอก หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิต
2.เกิดเชื้อดื้อยา การกินยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียกลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยา ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น แพงขึ้น อาจได้รับผลข้างเคียงจากยามากขึ้น ซึ่งเหลือให้ใช้อยู่ไม่กี่ชนิด สุดท้ายก็จะไม่มียารักษา และเสียชีวิตในที่สุด
3.เกิดโรคแทรกซ้อน ยาปฏิชีวนะจะฆ่าทั้งแบคทีเรียก่อโรคและแบคทีเรียชนิดดีมีประโยชน์ในลำไส้ เมื่อแบคทีเรียชนิดดีตายไป เชื้ออื่น ๆ จึงฉวยโอกาสเติบโตมากขึ้น ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ลำไส้อักเสบอย่างรุนแรง ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
ยาปฏิชีวนะเป็นยาอันตรายที่ห้ามจำหน่ายในร้านค้าทั่วไป แนะนำให้เข้ารับบริการ ณ ร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตโดยสังเกตได้จากป้ายกำกับแสดงเลขที่ใบอนุญาตขายยาและป้ายระบุชื่อพร้อมภาพเภสัชกรประจำร้าน ซึ่งจะต้องติดไว้ ณ ที่เปิดเผยเห็นได้ง่าย และมีเภสัชกรที่ได้มาตรฐานปฏิบัติงานตลอดเวลาที่เปิดทำการ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด
-
อย. เตือน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอรานอล (Eranol Dietary Supplement Product)
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวขออนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ในชื่อ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอรานอล (Eranol Dietary Supplement Product) เลขอย. 10-1-03958-5-0293 ซึ่งในการยื่นขออนุญาต ไม่มีการยื่นข้อมูล ประสิทธิผล ตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และการแสดงข้อความ เช่น “Eranol อาหารเสริมฟื้นฟูเส้นประสาทการได้ยินและลดภาวะเสียงดังในหู” และ “ฟื้นฟูการได้ยิน 100% โดยไม่มีการผ่าตัด ให้คุณใช้ ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยฟัง” และ “Eranol สามารถรักษาโรคหู ได้ทุกประเภท” เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือ สรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร ซึ่ง อย. จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำการ ฝ่าฝืนพรบ. อาหาร พ.ศ. 2522 ต่อไป.. -
อย. ตรวจพบซิลเดนาฟิล ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอัลฟ่าพลัส LOT No : AP6510/03 MFG : 28/10/2022 EXP : 28/10/2024
พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอัลฟ่าพลัส (Alpha+) เลข อย. 11-2-04463-5-0047 ขายทางออนไลน์ ระบุสรรพคุณในการเสริมสมรรถภาพทางเพศ
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของผลิตภัณฑ์อาหารอันเป็นเท็จหรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร และไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ สสจ. สมุทรปราการได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อัลฟ่าพลัส ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลขสารบบอาหาร 11-2-04463-5-0047 LOT No : AP6510/03 MFG : 28/10/2022 EXP : 28/10/2024 ส่งตรวจวิเคราะห์หายาแผนปัจจุบันกลุ่มเสริมสมรรถภาพทางเพศ พบยาแผนปัจจุบันซิลเดนาฟิล จัดเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ โดยซิลเดนาฟิลจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ออกฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ผลข้างเคียงอาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทตา ถึงขั้นตาบอดได้ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง และอาจเป็นภัยร้ายแรงถึงชีวิตโดยคาดไม่ถึง มีข้อควรระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคตับ ไต ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจล้มเหลว โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บหน้าอกแบบไม่คงที่ ซึ่งขณะนี้ สสจ. สมุทรปราการอยู่ระหว่างดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และ อย. อยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณายกเลิกเลขสารบบอาหารผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
ข้อแนะนำ
ขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังอย่าซื้อ “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอัลฟ่าพลัส (Alpha+)” ที่ฉลากระบุรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นมารับประทาน หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถาม หรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
อย. เตือน ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ลูก้า อีฟ (LUCA EVE)
จากการตรวจสอบการโฆษณาพบข้อความ “LUCA EVE...และตัวนี้มันใช้คู่กันกับอันนี้ใช่ไหมคะ มันจะให้ผลลัพธ์เพิ่มไปอีก 60 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันเป็นเซลล์คอนเน็คกัน....นวัตกรรมตอนนี้มันลงไปข้ามพันธุกรรม ...ครีมสามารถลงไป ที่พันธุกรรมได้ แปลว่าสมมติถ้าคุณเป็นคนผิวเข้มอย่างงี้ คุณขาวได้อีกนิดนึงนะ...มันจะมีความสว่างขึ้นมาอีกเฉดนึงนิดนึง...” และจาก ฐานข้อมูลด้านเครื่องสำอาง พบว่าเครื่องสำอาง ชื่อการค้า ลูก้า อีฟ (LUCA EVE) ชื่อเครื่องสำอาง แอดวานซ์ ไวท์เทนนิ่ง ครีม (ADVANCE WHITENING CREAM) ใบรับจดแจ้งเลขที่ 20-1-6500009507 และเครื่องสำอางซื่อ แอดวานซ์ พี5 บูสเตอร์ เอสเซนส์ (ADVANCE P5 BOOSTER ESSENCE) ใบรับจดแจ้งเลขที่ 20-1-6500038215 ชื่อผู้ผลิต บริษัท บิวตี้ดาราอินเตอร์เทรด จำกัด ที่ตั้ง เลขที่ 99/9 หมู่ 8 ซอย หนองปลาไหล2 ตำบล หนองปลาไหล อำเภอ บางละมุง จังหวัด ชลบุรี 20150 ได้จดแจ้งไว้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุง ผิวหน้าประเภทไม่ล้างออก ซึ่งเครื่องสำอางมีวัตถุประสงค์เพื่อความสะอาด สวยงามเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ ร่างกายและรวมถึงการเปลี่ยนแปลงถึงระดับพันธุกรรมได้ ดังนั้นจึงเป็นการโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริง และทำให้ ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง
-
อย. ลงพื้นที่ประเมินความพร้อม ยกระดับด่านอาหารและยาแม่สอด
อย. ลงพื้นที่ประเมินความพร้อม ยกระดับด่านอาหารและยาแม่สอด
วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาดร.วัฒนศักดิ์ ศรรุ่ง ผู้อำนวยการกองด่านอาหารและยา ผู้แทนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเพื่อประเมินความพร้อมในการยกระดับด่านอาหารและยาแม่สอด โดยมีเภสัชกรบุญศักดิ์ อ่อนลิ้ม เภสัชกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมโรงพยาบาลแม่สอด ให้การต้อนรับและนำเสนอผลการปฏิบัติงานของด่านฯ โดยพบว่าส่วนมากเป็นการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล ซึ่งในปี 2565 มีมูลค่าการนำเข้ามากกว่าพันล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ทีมผู้บริหาร อย.ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น รับฟังปัญหาอุปสรรค พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการดำเนินงานด่านอาหารและยา
-
อย. เร่งตรวจข้อเท็จจริงกรณีซอสหอยนางรม
อย. เผยกรณีพบสิ่งแปลกปลอมในซอสหอยนางรมตามที่มีการนำเสนอบนสื่อสังคมออนไลน์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ลงตรวจสอบสถานที่ผลิตและส่งผลิตภัณฑ์ตรวจวิเคราะห์แล้ว
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่มีการโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์พบสิ่งแปลกปลอมในน้ำมันหอย โดยผู้โพสต์ระบุว่าฉลากแสดงวันหมดอายุวันที่ 31 ธันวาคม 2567 จากการตรวจสอบพบว่าเป็นซอสหอยนางรม ตราเรือใบ เลขสารบบอาหาร 34-2-01749-2-0017 ผลิตโดย บริษัท นอร์มผลิตอาหาร จำกัด ตั้งอยู่ที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และโรงพยาบาลวารินชำราบ เข้าตรวจสอบสถานที่ผลิต พบว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด สูตรส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ไม่มีส่วนใดมีลักษณะเป็นชิ้นส่วนตามที่ปรากฏในข่าว เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างซอสหอยนางรม ตราเรือใบ ที่ผลิตรุ่นเดียวกับที่เป็นข่าว ส่งตรวจวิเคราะห์คุณภาพ ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 แล้ว ผลเป็นประการใด จะได้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
ความรู้ อย. ปวดเข่าจากข้อเสื่อม ใช้ยาอะไรดี
เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนหรือเมื่อมีอายุมากขึ้น หลายคนมักพบเจอกับปัญหาเรื่องกระดูกและข้อทำให้มีอาการปวดเข่าได้ โดยสาเหตุของอาการปวดเข่านั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งที่พบได้บ่อย คือ อาการปวดเข่าจากโรคข้อเข่าเสื่อมที่ถือว่าเป็นโรคที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตมาก บทความนี้จึงมาแนะนำยาที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดเข่าจากข้อเสื่อมและการปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมลงของกระดูกอ่อนผิวข้อ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของรูปร่าง หรือโครงสร้างการทำงานของทั้งกระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อ นอกจากนี้ข้อเข่าอาจเสื่อมได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การบาดเจ็บที่ข้อและเส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณข้อเข่า การเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคเก๊าต์ รวมถึงการมีน้ำหนักตัวมากเกินไป อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมที่สังเกตได้ง่าย คือ จะมีอาการปวดข้อเข่า มีเสียงลั่นในข้อ หรือรู้สึกเสียดสีเมื่อมีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเวลาขึ้นบันไดหรือเดินขึ้นทางชัน หรือมีอาการข้อฝืดหรือยึดติดเมื่อหยุดเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
แนวทางในการรักษาอาการปวดเข่าจาข้อเสื่อม ประกอบด้วย การรักษาแบบใช้ยาและการรักษาแบบไม่ใช้ยา รายละเอียด ดังนี้
การใช้ยาบรรเทาอาการข้อเสื่อม
สามารถแบ่งรูปแบบของการใช้ยาได้เป็น 2 รูปแบบ คือ
1. ยากิน
วัตถุประสงค์ในการใช้ยา คือ เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ
ยาที่ใช้ : ยาพาราเซตามอล หรือยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
ข้อควรระวัง : ในการรับประทานยาควรระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับและไต อีกทั้งควรระวังผลข้างเคียงที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ การใช้ยากลุ่ม NSAIDs ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
2. ยาฉีด
วัตถุประสงค์ในการใช้ยา คือ เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ ใช้ในกรณีข้อเสื่อมรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น
ยาที่ใช้ : ยาสเตียรอยด์ (Steroid)
ข้อควรระวัง : การใช้ยาต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรฉีดประจำเนื่องจากจะไปทำลายกระดูกอ่อนข้อต่อได้
นอกจากที่จะต้องระวังเรื่องจากการใช้ยาแล้วก็ยังต้องระวังพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันด้วย โดยสามารถปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการจากโรคข้อเสื่อมได้ ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการนั่งในลักษณะที่ต้องงอเข่า เช่น การนั่งพับเพียบ นั่งคุกเข่า หรือนั่งขัดสมาธิ
2. ไม่ขึ้น - ลงบันไดโดยไม่จำเป็น
3. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
4. ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องกระโดด แต่หันมาออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ หรือเดินแทน
-
อย.เตือน อันตราย อย่าใช้กาวยึดติดวัสดุในการลอกสิวเสี้ยน
จากกรณีที่มีคลิปสาธิตการนำกาวสำหรับยึดติดวัสดุมาทาที่จมูกเพื่อลอกสิวเสี้ยน เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ อย.เตือนอย่าทำตาม อันตรายต่อผิวหนัง
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์กาวยึดติดวัสดุ มีคุณสมบัติในการยึดติดแน่นและแห้งเร็ว ใช้ในการเชื่อมติดกันของพื้นผิววัสดุต่าง ๆ เวลาใช้งานต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ประกอบด้วยสารกลุ่มอัลคิลไซยาโนอะคริเลต (Alkyl cyanoacrylate) จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 การใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ อาจได้รับอันตราย ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ บวมแดง หากถูกผิวหนังอย่าพยายามดึงหรือแยกพื้นผิวที่ติดออก ให้ล้างด้วยน้ำจำนวนมาก ๆ ระวังอย่าให้เข้าตาเพราะเป็นอันตรายต่อดวงตาอย่างรุนแรง หากเข้าตาให้รีบล้างด้วยน้ำอุ่นสะอาดแล้วรีบไปพบแพทย์
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และอย่าทำตาม ทั้งนี้ หากผู้บริโภคมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถามข้อมูลหรือร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th ตู้ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
ยาฆ่าเชื้อผสมสเตียรอยด์ ควรใช้เมื่อไหร่
ยาฆ่าเชื้อผสมสเตียรอยด์ เป็นยาใช้ภายนอก/ยาใช้เฉพาะที่ถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรและมีการใช้อย่างจำกัด เนื่องจากมีส่วนประกอบของยาสเตียรอยด์และตัวยาฆ่าเชื้อ 1 ชนิดขึ้นไปตามวัตถุประสงค์ของการรักษา ซึ่งอาจได้ผลกับบางอาการและตอบสนองกับผู้ป่วยบางรายเท่านั้น ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่ายาฆ่าเชื้อกับยาสเตียรอยด์มีคุณสมบัติอย่างไร นำมาใช้ผสมกันเพื่อช่วยเรื่องใดบ้าง
“ยาต้านจุลชีพ”หรือที่มักเรียกกันว่า “ยาฆ่าเชื้อ” ออกฤทธิ์ฆ่าหรือหยุดการเจริญของเชื้อก่อโรค มีการนำมาใช้ในยาสูตรผสมมีหลายกลุ่ม ทั้งยาต้านแบคทีเรีย เช่น เจนตามิซิน (Gentamicin), โพลีมิกซินบี (Polymyxin B) ยาต้านเชื้อรา เช่น โคลไทรมาโซล (Clotrimazole), นิสแททิน (Nystatin) ยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ตลอดจนยาที่มีฤทธิ์ต่อจุลชีพชนิดอื่น ๆ
สำหรับ “ยาสเตียรอยด์” มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (ลดอาการปวด ร้อน บวม แดง) และฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน เนื่องจากยาสเตียรอยด์มีหลายสูตรโครงสร้าง ทำให้แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและความเข้มข้นที่แตกต่างกัน ยาสเตียรอยด์ที่นำมาผลิตเป็นยาสูตรผสมร่วมกับยาฆ่าเชื้อ เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone), เบตาเมทาโซน (Betamethasone), เดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) เป็นต้น
ยาฆ่าเชื้อผสมสเตียรอยด์ สำหรับใช้ทาภายนอก หรือยาใช้เฉพาะที่ มีทั้งรูปแบบขี้ผึ้ง ครีม เจล ยาน้ำใส และยาน้ำแขวนตะกอน ถูกนำมาใช้รักษาโรคหลายอย่างที่ตอบสนองดีต่อยาสเตียรอยด์และเกิดการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย ได้แก่
1. โรคทางระบบผิวหนัง เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบออกผื่น โรคสะเก็ดเงิน
โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา
2. โรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ใช้ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่ตา ลดการอักเสบหลังการผ่าตัดตา โรคเยื่อบุตาอักเสบ
3. โรคเกี่ยวกับหู เช่น รักษาหูชั้นกลางอักเสบ รักษาหูชั้นนอกอักเสบเรื้อรังจากการสัมผัส
เนื่องจากยาสเตียรอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกัน จึงใช้รักษาโรคผิวหนังหรืออาการเจ็บป่วยเฉพาะที่ เช่น แผลเริมที่ปาก เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ ระคาย และคัน ตรงบริเวณที่ได้รับยาได้ดี และพบว่าการใช้ยาสูตรผสมที่มีสเตียรอยด์ผสมกับยาฆ่าเชื้อช่วยลดความรุนแรงของโรคหรืออาการข้างต้นได้
โดยทั่วไปยาสูตรผสมไม่ควรใช้นานเกิน 7 หรือ 10 วัน การใช้เป็นเวลานานจะเสี่ยงต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์มากขึ้น ดังนี้
1. ยาที่มีสเตียรอยด์ ไม่ว่าจะเป็นยาเดี่ยวหรือยาสูตรผสม หากใช้ตัวยาและความแรงไม่เหมาะสมกับอาการของโรค อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงผลข้างเคียงบริเวณที่ใช้ยา เช่น ผิวหนังบริเวณที่ทายาบางลง ผิวแดง/ด่าง มีริ้วลาย
2. หากใช้สูตรยาไม่ตรงกับเชื้อก่อโรค อาจทำให้ไม่ตอบสนองต่อการรักษา เกิดเชื้อดื้อยา และยากต่อการดูแลเมื่อมีการติดเชื้อเรื้อรังหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน อีกทั้งเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงจากยาต้านจุลชีพ โดยเฉพาะหากยาสูตรผสมนั้นมียาต้านจุลชีพมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป
ดังนั้นควรใช้ยาสูตรผสมในระยะเวลาสั้น ๆ หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาชนิดที่มีความแรงสูงเป็นเวลานานและทาเป็นบริเวณกว้าง ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกร ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากยังไม่มีการศึกษายืนยันว่าการใช้ยาสูตรผสมมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ยาเดี่ยวอย่างชัดเจน และแพทย์จะสั่งใช้เมื่อพิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์ในการรักษามากกว่าผลข้างเคียงเท่านั้น -
อย. เตือนอย่าซื้อเครื่องดื่มโสม กระชายดำ ยี่ห้อนี้ พบสเตียรอยด์ เร่งเอาผิด
อย. ตรวจเครื่องดื่มสมุนไพรโสมผสม กระชายดำ ตราเทพี พบยกเลิกเลขสารบบไปแล้ว 2 ปี ตรวจพบ สเตียรอยด์ หลังพบโฆษณาเกินจริง เร่งเอาผิดถึงขอนแก่น
วันที่ 26 พ.ค.2566 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศเผยแพร่ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรโสมผสมกระชายดำ ตราเทพี เลขสารบบอาหาร 40-2-00658-2-0012 ฉลากระบุ “…ชาสมุนไพรตรา เทพี สรรพคุณแก้ปวดตามข้อ ปวดหลัง ปวดเอว โรคเกาท์ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ กระดูกทับเส้นประสาท แก้ปวดประจำเดือน ขับสารพิษออกจากร่างกาย…MFG: 301222 EXP: 301224” ซึ่งจากตรวจเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว พบว่า สถานะผลิตภัณฑ์ยกเลิกโดยผู้ประกอบการ ตั้งแต่ 16/2/2564
เมื่อนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวตรวจสอบด้วยชุดทดสอบสเตียรอยด์เบื้องต้น พบว่ามีการปนเปื้อนสารสเตียรอยด์ สำหรับสเตียรอยด์ จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่าย การใช้สเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอันตรายต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
เช่น มีผลกดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง อาจทำให้กระเพาะทะลุหรือเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของร่างกาย กระดูกผุ อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออาจเกิดอาการหัวใจล้มเหลวได้
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานที่ผลิตตามเลขสารบบอาหารดังกล่าวตั้งอยู่ที่จ.ขอนแก่น ทาง อย. จึงได้ประสานความร่วมมือไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ขอนแก่นเพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว หากพบการกระทำผิดจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ดังนั้น ขอเตือนผู้บริโภคอย่าซื้อ “ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรโสมผสมกระชายดำ ตราเทพี” ที่ฉลากระบุรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นมารับประทาน
-
อย.เตือนอย่าเชื่อ เว็บไซต์แอบอ้างชื่อ รพ. หลอกขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
อย. เตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อเพจและเว็บไซต์ตัดต่อภาพคณะแพทย์โรงพยาบาลชื่อดัง เพื่อการโฆษณาหลอกขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตรวจสอบไม่พบข้อมูลการขออนุญาตผลิตภัณฑ์
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบผลิตภัณฑ์ 3 ชนิด ได้แก่
1.ผลิตภัณฑ์แชมพูสระผม ยี่ห้อ Herbs Plant Shampoo ระบุสรรพคุณ “…ช่วยบำรุงผมและปรับปรุงผมชี้ฟู ซ่อมแซมผมขาวตั้งแต่เริ่มต้น...แชมพูแก้ผมหงอก…”
2.ผลิตภัณฑ์ยารักษาหัวล้าน ยี่ห้อ EELHOE ระบุสรรพคุณ “...ช่วยให้ผมยาวขึ้น ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมหนาขึ้น...แก้ผมบาง หัวล้าน...เห็นผลใน 3 วัน...”
3.ผลิตภัณฑ์แชมพูสระผม ยี่ห้อ qinf eiyan ระบุสรรพคุณ “…คุณหมอแนะนำรักษาจากราก คนวัย 80 ปี ก็ผมดำได้อีกครั้ง ผมหงอก 20 ปี ได้รับการช่วยชีวิด สูตรสมุนไพรจีน...รักษาที่ต้นเหตุ บอกลาผมสีขาว...”
ตรวจสอบพบผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีการแอบอ้างใช้ภาพถ่ายของแพทย์ ตลอดจนชื่อและโลโก้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ นำไปตัดต่อ ดัดแปลง เติม และใช้ถ้อยคำโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อโดยไม่สมควร ไม่ได้รับอนุญาตโฆษณาและไม่ได้ขออนุญาตผลิตภัณฑ์กับ อย. ทั้งนี้ อย. อยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิด
ข้อแนะนำ
ขอแนะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลการขออนุญาตผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ที่ www.fda.moph.go.th หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai และควรพิจารณาเนื้อหาการโฆษณาของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย อย่าหลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ซึ่งผู้บริโภคสามารถตรวจสอบว่าโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และเครื่องมือแพทย์ ได้รับอนุญาตหรือไม่ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ อย. หมวดบริการประชาชน ในหัวข้อสืบค้นใบอนุญาตโฆษณา ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถสอบถาม หรือแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Line@FDAThai, Facebook : FDAThai หรือ E-mail : 1556@fda.moph.go.th ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ -
ความรู้ อย. หมากฝรั่งนิโคติน ช่วยเลิกบุหรี่
อย่างที่ทราบกันว่าการสูบบุหรี่ทำให้สุขภาพแย่ลง และส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา แต่เนื่องจากในบุหรี่มีสารเสพติดที่ชื่อว่า “นิโคติน” ซึ่งสารชนิดนี้เมื่อร่างกายได้รับแล้ว จะต้องการในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดภาวะเสพติด เมื่อผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ หยุดสูบบุหรี่ จะทำให้เกิดอาการหน้ามืด ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หงุดหงิด ซึมเศร้า กระสับกระส่าย ซึ่งเรียกว่าภาวะถอนนิโคติน ภาวะดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่งที่ทำให้เลิกบุหรี่ไม่สำเร็จ หมากฝรั่งนิโคติน จัดเป็นยาที่ช่วยเลิกบุหรี่ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากใช้ง่าย และสะดวก โดยหมากฝรั่งนิโคติน เป็นหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของนิโคติน มี 2 ขนาด ได้แก่ 2 มิลลิกรัม และ 4 มิลลิกรัม ซึ่งขนาดที่ใช้ขึ้นอยู่กับจำนวนบุหรี่ที่สูบ ใช้ทดแทนนิโคตินจากบุหรี่ ดังนั้นเมื่อเลิกสูบบุหรี่ ก็จะยังได้รับนิโคตินจากหมากฝรั่ง ทำให้เกิดอาการถอนนิโคตินน้อยลงหรือไม่เกิดเลย จึงสามารถช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น แต่ต้องใช้อย่างถูกวิธีจึงจะเห็นผล ผู้ที่ต้องการใช้ควรปฏิบัติดังนี้
1.เคี้ยวหมากฝรั่งช้า ๆ จนเริ่มมีรสเผ็ดซ่า
2.เมื่อรู้สึกถึงรสเผ็ดซ่าให้หยุดเคี้ยว แล้วนำหมากฝรั่งไปพักไว้ที่กระพุ้งแก้มข้างใดข้างหนึ่ง
3.เมื่อรสเผ็ดซ่าหายไปให้นำหมากฝรั่งมาเคี้ยวใหม่
4.เคี้ยวหมากฝรั่งจนมีรสเผ็ดซ่าแล้วนำไปพักไว้ที่กระพุ้งแก้มเช่นเดิม สลับกันไป ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
5.ห่อหมากฝรั่งด้วยกระดาษให้มิดชิดก่อนทิ้ง เพื่อป้องกันเด็กหรือสัตว์เลี้ยงนำไปเคี้ยวและอาจเกิดอันตรายได้จากนิโคตินที่ค้างอยู่ในหมากฝรั่ง
ก่อนเริ่มใช้หมากฝรั่งนิโคตินควรหยุดสูบบุหรี่ทันที เพราะหากสูบบุหรี่ควบคู่ไปกับการเคี้ยวหมากฝรั่งนิโคติน อาจทำให้ร่างกายได้รับสารนิโคตินมากขึ้นจนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ และควรงดเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรด เช่น กาแฟ น้ำส้ม น้ำอัดลม ก่อนเคี้ยวหมากฝรั่ง 15 นาที เนื่องจากทำให้การดูดซึมนิโคตินลดลง และควรกลืนน้ำลายช้า ๆ ไม่กลืนน้ำลายมากเกินระหว่างเคี้ยว เพื่อลดการระคายเคืองทางเดินอาหาร และไม่ควรหยุดหรือปรับเปลี่ยนการใช้หมากฝรั่งเองแม้อาการอยากบุหรี่จะดีขึ้นแล้วก็ตาม หมากฝรั่งนิโคตินเป็นเพียงทางเลือกอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ แต่การเลิกบุหรี่ก็มีอีกหลากหลายวิธี หากสนใจควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม หรือโทร สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600
-
อย.จัดการประชุมสัมมนาเพื่อสนับสนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไปยังประเทศมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยกองความร่วมมือระหว่างประเทศ จัดการประชุมสัมมนาให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อสนับสนุนการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายขององค์กรในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทย การประชุมสัมมนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการส่งออก โดยได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรจากหน่วยงานของประเทศมาเลเซียที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Malaysia External Trade Development Corporation (MATRADE), Food Safety and Quality Division, Ministry of Health Malaysia และ National Pharmaceutical Regulatory Agency (NPRA) มานำเสนอข้อมูลแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพ กฎระเบียบในการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมไปถึงข้อกำหนดที่จำเป็นสำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์สุขภาพของประเทศมาเลเซีย ซึ่งการประชุมสัมมนาดังกล่าว มีผู้ประกอบการไทยที่เข้าสนใจร่วมผ่านทางระบบออนไลน์กว่า 150 คน
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ประธานเปิดการประชุมสัมมนา โดยได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของบทบาท อย. ในการส่งเสริมผู้ประกอบการตั้งแต่ช่วงกลางน้ำ ในการพัฒนาระบบให้คำปรึกษาเพื่อการออกสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม ซึ่งรับผิดชอบโดยกองผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรมและการบริการไปจนถึงปลายน้ำโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการรักษาและขยายตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพของประเทศไทยซึ่งรับผิดชอบโดยกองความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งนี้มีหัวข้อการอบรมที่น่าสนใจเกี่ยวกับการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่
1. Market insight, trends, and opportunities of Malaysia market นำเสนอภาพรวมของตลาด แนวโน้ม ความต้องการ และโอกาสของผลิตภัณฑ์สุขภาพในประเทศมาเลเซีย
2. Food Control Regulations in Malaysia & Food Import Requirement to Malaysia ซึ่งนำเสนอการแนวทางการกำกับดูแล กฎระเบียบ และข้อกำหนดในการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารไปยังประเทศมาเลเซีย
3. Cosmetic Registration in Malaysia นำเสนอถึงแนวทางการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ข้อกำหนดสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางนำเข้า รวมไปถึงขั้นตอนในการจดแจ้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของประเทศมาเลเซีย และ
4. Herbal Product/Extraction Registration in Malaysia นำเสนอข้อกำหนดกฎระเบียบเกณฑ์การแบ่งประเภท และขั้นตอนกระบวนการสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาแผนโบราณในประเทศมาเลเซีย
ในระหว่างการประชุมสัมมนาผู้ประกอบการมีการซักถามประเด็นข้อสงสัยกับวิทยากรจากหน่วยงานของประเทศมาเลเซียซึ่งทำให้ได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินการเพื่อเตรียมการสำหรับการส่งออก นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากการประชุมจะถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาเป็นข้อสรุปแนวทางสำหรับการส่งออกไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อเผยแพร่ผ่านทางส่วนส่งเสริมการส่งออกเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้กับผู้ประกอบการต่อไป -
อย.เตือนผลิตภัณฑ์สมุนไพร "ประสมบุญ ขี้ผึ้งมรกต ฤทธิ์เย็น"
อย.เตือนผลิตภัณฑ์สมุนไพร "ประสมบุญ ขี้ผึ้งมรกต ฤทธิ์เย็น" จากการตรวจสอบข้อมูลการโฆษณาผลิตภัณฑ์ตามที่ปรากฏดังกล่าวแล้วพบว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรส่วนประกอบของสมุนไพร โดยมีการกล่าวอ้างสรรพคุณ คือ “ขี้ผึ้งสกัด ฤทธิ์เย็น ใช้กัวซา หรือใช้นวดตามร่างกายเพื่อถอนพิษร้อน คลายเส้นเอ็น แก้เคล็ดขัดยอก ปวดเมื่อย แมลงสัตว์กัดต่อย” ซึ่งจากการ สืบค้นในระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว ไม่พบปรากฏผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดังกล่าวได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแต่อย่างใด ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวนี้ -
รู้ทัน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรปลอม
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สมุนไพร ซึ่งเป็นผลิตผลธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ จุลชีพ หรือแร่ นำมาใช้ผสม ปรุง หรือแปรสภาพมาเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่ปัจจุบันคนทั่วไปนิยมบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาและป้องกันโรค เพราะทำให้รู้สึกปลอดภัยในการเลือกใช้ และเพื่อความสะดวกและประโยชน์ในการได้รับข้อมูลจากฉลากบรรจุภัณฑ์อย่างครบถ้วน
“ผลิตภัณฑ์สมุนไพร”ครอบคลุมไปถึง ยาจากสมุนไพร ที่มีทั้งยาแผนไทย ยาพัฒนาจากสมุนไพร และยาแผนโบราณที่ใช้กับมนุษย์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้สำหรับการรักษา บรรเทา ป้องกันโรคหรือ ให้เกิดผลแก่สุขภาพ โครงสร้าง หรือการทำหน้าที่ของร่างกายมนุษย์
แต่สำหรับ “ผลิตภัณฑ์สมุนไพรปลอม” สามารถสังเกตได้จากลักษณะดังต่อไปนี้
1) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือวัตถุที่ทำเทียมทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแท้ เช่น ผลิตภัณฑ์ “ฟ้าทะลายโจรแคปซูล100%” อาจพบการใช้ผงบอระเพ็ดแทนฟ้าทะลายโจร
2) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แสดงชื่อผลิตภัณฑ์ หรือแสดงวัน เดือน ปีที่สิ้นอายุ ซึ่งไม่ใช่ความจริง เช่น จดแจ้งผลิตภัณฑ์กับ อย. ในชื่อ “ABC” หมดอายุ 10/67 แต่นำมาจำหน่ายในชื่อ “AAA” หมดอายุ 10/70
3) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แสดงชื่อ เครื่องหมายของผู้ผลิต หรือที่ตั้งสถานที่ผลิต ซึ่งไม่ใช่ความจริง เช่น ผลิตภัณฑ์ “ฟ้าทะลายโจรหรรษา” ฉลากระบุผลิตโดย บริษัท หรรษา จำกัด แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าผลิตจาก บริษัท เริงรื่น จำกัด
4) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แสดงฉลากหรือเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ซึ่งไม่ใช่ความจริง เช่น ฟ้าทะลายโจรB ตอนขึ้นทะเบียนระบุสรรพคุณ “ลดไข้” แต่ตอนจำหน่ายระบุสรรพคุณในฉลากเป็น “รักษาโรคความดัน เบาหวาน ยับยั้งเซลล์มะเร็ง”
5) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามตำรับที่ขึ้นทะเบียน แจ้งรายละเอียด หรือจดแจ้งไว้ซึ่งไม่ใช่ความจริง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. แต่อ้างว่ามีเลขทะเบียนตำรับสมุนไพร แต่ใช้เลข อย. ของผลิตภัณฑ์อื่นมาแอบอ้าง
6) ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในตำรับที่ขึ้นทะเบียน แจ้งรายละเอียด จดแจ้ง หรือมีค่าคลาดเคลื่อนผิดจากเกณฑ์ที่รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนด เช่น “ฟ้าทะลายโจรDD” ขึ้นทะเบียนตำรับโดยระบุมีสาร Andrographolide 60 mg. แต่ผลิตออกมาจำหน่ายจริงมีสาร Andrographolide เพียง 15 mg.
ผู้บริโภคที่มีโรคประจำตัวควรได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง ก่อนซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพร ควรตรวจสอบการได้รับอนุญาตผลิตภัณฑ์จาก อย. ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ซึ่งตามกฎหมายผลิตภัณฑ์สมุนไพร จะต้องมีเลขทะเบียนตำรับสมุนไพร ขึ้นต้นด้วยอักษร “G” หรืออักษร “K” เช่น G 123/45, K 123/45 และควรซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ หากพบว่ารายละเอียดไม่ตรงตามที่ได้รับอนุญาตอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ชื่อผู้ผลิต ชื่อผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต วัน เดือน ปีที่ผลิตและหมดอายุ เลขทะเบียนตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร ปริมาณส่วนประกอบและสารสำคัญ การกล่าวอ้างสรรพคุณ ไม่ควรซื้อมารับประทาน เพราะอาจทำให้ไม่ทราบแต่ละรายละเอียดสำคัญเช่น มาตรฐานการผลิต แหล่งผลิตที่แท้จริง ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เสี่ยงได้รับอันตรายจากสารปนเปื้อน และเสียโอกาสในการรักษา -
อย. เตือน อย่าซื้อเยลลี่ผสมกัญชาไม่มีเครื่องหมาย อย. แนะอ่านฉลากก่อนบริโภค
อย. เตือนผู้บริโภคอย่าซื้อเยลลี่ผสมกัญชา ไม่มีเลข อย. เป็นผลิตภัณฑ์ลักลอบนำเข้า เสี่ยงได้รับอันตราย แนะซื้ออาหารที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง และอ่านข้อความบนฉลากให้ละเอียดก่อนบริโภค เพื่อความปลอดภัย
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อออนไลน์ว่ามีผู้บริโภครับประทานขนมเยลลี่แล้วเกิดอาการผิดปกติจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นขนมเยลลี่ผสมกัญชา โดยมีสติ๊กเกอร์ปิดทับส่วนประกอบที่ระบุว่ามีกัญชาไว้
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบแล้ว เป็นอาหารผลิตจากต่างประเทศ ลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ไม่ได้ขอ อย. จากการตรวจสอบข้อมูลการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศไทย ไม่พบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว อย. อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน หากพบผู้กระทำผิดจะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนอย่าซื้อขนมเยลลี่ดังกล่าวมารับประทาน เลือกซื้ออาหารที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง และเพื่อความปลอดภัยในการบริโภค ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการบริโภคและข้อความคำเตือนที่แสดงบนฉลาก
ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้รับอนุญาตจาก อย. ได้ที่ www.fda.moph.go.th และ Line@FDAThai หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน อย.1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th Line@FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
-
อย.เตือน "ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาเอ็น-ดานอล น้ำมันว่าน 801 บวรเวช"
อย.เตือน "ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาเอ็น-ดานอล น้ำมันว่าน 801 บวรเวช" จากการตรวจสอบข้อมูลและเนื้อหา ตามที่ปรากฏดังกล่าวและจากสืบค้นฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แล้วพบว่า ผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยาแผนไทย เลขทะเบียนยาที่ G 13/57 แต่อยู่ภายใต้ข้อบ่งใช้ บรรเทา อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ดังนั้นการนำเอาผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวมาใช้เพื่อ “บรรเทาอาการปวด ไหล่ติด ปวดหลั